More Related Content
Similar to ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory)
Similar to ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory) (20)
More from Chantana Papattha
More from Chantana Papattha (18)
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory)
- 4. ประเด็นเสวนา
ประเด็นการเสวนา เวอร์ชัน 1
1. ทฤษฎีการเรียนรู้: ความหมายของทฤษฎี ความหมายของการเรียนรู้ และ
ส่วนประกอบสาคัญของการเรียนรู้
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories): 1) ลักษณะของทฤษฎี
กลุ่มพฤติกรรมนิยม 2) แนวคิดสาคัญของกลุ่มพฤติกรรมนิยม
3. ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive Learning Theories): 1) ลักษณะของทฤษฎีกลุ่ม
ปัญญานิยม 2) ทฤษฎีต่างๆ ของกลุ่มปัญญานิยม
4. ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม (Constructivisim): 1) เป้ าหมาย 2) สิ่งแวดล้อม 3) เงื่อนไข
4) การประเมินผล 5) การประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหรือการเรียนการสอน
5. ทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connectivism): 1) ลักษณะของทฤษฎีเชื่อมต่อ 2) หลักการ
ของทฤษฎีเชื่อมต่อ 3) การประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหรือการเรียนการสอน
- 5. ประเด็นที่เสวนา
ประเด็นการเสวนา เวอร์ชัน 2
1. ทฤษฎีการเรียนรู้
1.1 ความหมายของทฤษฎี
1.2 ความหมายของการเรียนรู้
1.3 ส่วนประกอบสาคัญของการเรียนรู้
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)
2.1 ลักษณะของทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม
2.2 แนวคิดสาคัญของกลุ่มพฤติกรรมนิยม
2.4 การประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
2.3 กรณีศึกษาหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- 6. ประเด็นเสวนา
ประเด็นการเสวนา เวอร์ชัน 2
3.ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive Learning Theories)
3.1 ลักษณะของทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม
3.2 ทฤษฎีต่างๆ ของกลุ่มปัญญานิยม
3.3 การประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
3.3 กรณีศึกษาหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4. ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม (Constructivisim)
4.1 ลักษณะของทฤษฎีสร้างความรู้นิยม
4.2 เป้าหมาย
4.3 สิ่งแวดล้อม
4.4 เงื่อนไข
4.5 การประเมินผล
4.6 การประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหรือการเรียนการสอน
4.7 กรณีศึกษาหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- 7. ประเด็นเสวนา
ประเด็นการเสวนา เวอร์ชัน 2
5. ทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connectivism)
5.1 ลักษณะของทฤษฎีเชื่อมต่อ
5.2 หลักการของทฤษฎีเชื่อมต่อ
5.3 การประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหรือการเรียนการสอน
5.4 กรณีศึกษาหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- 11. ทฤษฎีการเรียนรู้
ประเด็นที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการเรียนรู้อยู่ 4 ประเด็น วีระ
ไทยพานิช และ สุแพรวพรรณ ตันติพลาผล (2546: 35) ดังนี้
1. การเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นตัวชี้ถึงการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าผลการเรียนรู้
จะถูกเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมที่สังเกตได้ หลังจากการเรียนรู้ ผู้เรียนต้อง
สามารถทาสิ่งที่ไม่ได้มาก่อน
2. การเปลี่ยนพฤติกรรมต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวร
3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่จาเป็นต้องเกิดขึ้นทันทีทันใดหลังจากการ
เรียนรู้ ถึงแม้ว่าจะมีศักยภาพที่จะกระทาได้ ซึ่งศักยภาพอาจยังไม่
เปลี่ยนเป็นพฤติกรรมโดยทันที
4. การเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นผลจากประสบการณ์
- 12. ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ 4 ทฤษฎี ได้แก่
1. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)
2. ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive Learning Theories)
3. ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม (Constructivisim)
4. ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectivism)
- 13. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)
หรือทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่ง
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง
คือ ไม่ดีไม่เลว (Neutral-active) การกระทาต่างๆ ของมนุษย์เกิด
จากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมมนุษย์เกิดจากการ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (Stimulus-response) การเรียนรู้เกิดจากการ
เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง (ทิศนา แขมณี. 2545:
50)
- 14. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)แนวคิดที่
สาคัญ 3 แนวคิด (ทิศนา แขมณี (2545: 50-51) คือ
1. ทฤษฎีเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism)
2. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory)
3. ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior
Theory)
- 16. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism)
กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ ซึ่ง Hergenhahn และ Olson (1993 อ้างถึงใน
ทิศนา แขมณี. 2545: 51) ดังนี้ (ต่อ)
3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้เกิดจากการ
เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะ
เกิดขึ้น หากได้มีการนาไปใช้บ่อยๆ หากไม่มีการนาไปใช้อาจมีการลืม
เกิดขึ้นได้
4. กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจ
ย่อมอยากจะเรียนรูต่อไป แต่ถ้าไดรับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยาก
เรียนรู้ ดังนั้น การได้รับผลที่พึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสาคัญในการเรียนรู้
- 17. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory)
1. แบบอัตโนมัติ (Classical Conditioning)
1.1 พาฟลอฟ (Pavlov ค.ศ. 1840-1958) ทาการทดลองให้สุนัข
น้าลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง (ทิศนา แขมณี. 2545: 52)
1.2 วัตสัน (Watson ค.ศ. 1878-1958 ) ทาการทดลองโดยให้เด็ก
คนหนึ่งเล่นกับหนูขาวและขณะที่เด็กกาลังจะจับหนูขาว ก็ทา
เสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังขากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้
เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาให้นาหนูขาวมาให้เด็กดู โดยแม่จะกอด
เด็กไว้ เด็กก็จะค่อยๆ หายกลัวหนูขาว
- 18. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) ทิศนา แขมณี (2545:
55-56)
2. แบบต่อเนื่อง (Contiguous Conditioning) ของกัทธรี (Guthrie ค.ศ.
1886-1959) ทาการทดลองปล่อยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา
มีเสาเล็กๆ ตรงกลาง มีกระจกที่ประตูทางออก มีปลาแซลมอนวาง
ไว้นอกกล่อง เสาในกลุ่มเป็นกลไกเปิดประตู แมวบางตัวใช้แบบ
แผนการกระทาหลายแบบเพื่อจะออกจากกล่อง แมวบางตัวใช้วิธี
เดียว ซึ่งแมวใช้การกระทาครั้งสุดท้ายที่ประสบผลสาเร็จเป็นแบบ
แผนยึดไว้สาหรับการแก้ปัญหาครั้งต่อไป และการเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้น
แล้วแม้เพียงครั้งเดียว ก็นับว่าเรียนรู้แล้ว ไม่จาเป็นต้องทาซ้าอีก
- 20. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior
Theory) ซึ่งฮัลล์ได้ทาการทดลองฝึกหนูให้กดคาด โดยบ่างหนูเป็นกลุ่มๆ
แต่ละกลุ่มอดอาหาร 24 ชั่วโมง และแต่ละกลุ่มมีแบบแผนในการ
เสริมแรงแบบตายตัวต่างกัน บางกลุ่มกดคาด 5 ครั้ง จึงได้อาหารไป
จนถึงกลุ่มที่กด 90 ครั้ง จึงได้อาหารและอีกพวกหนึ่งทดลองแบบ
เดียวกัน แต่อดอาหารเพียง 3 ชั่วโมง ผลปรากฏว่ายิ่งอดอาหารมาก คือ
มีแรงขับมาก จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้มของนิสัย (ทิศนา
แขมณี. 2545: 58-59)
- 21. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) กฎการเรียนรู้
ทิศนา แขมณี (2545: 58-59) ดังนี้
1. กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive Inhibition) กล่าวคือ ถ้า
ร่างกายเมื่อยล้า การเรียนรู้จะลดลง
2. กฎแห่งการลาดับกลุ่มนิสัย (Law of habit Hierachy) เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น แต่
ละคนจะมีการตอบสนองต่างๆ กันในระยะแรกการแสดงออกมีลักษณะง่ายๆ
ต่อเมื่อเรียนรู้มากขึ้นก็สามารถเลือกแสดงการตอบสนองในระดับที่สูงขึ้น หรือ
ถูกต้องตามมาตรฐานของสังคม
3. กฎแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย (Goal Gradient Hypothesis) เมื่อผู้เรียนยิ่ง
ใกล้บรรลุเป้าหมายเท่าใดจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมากขึ้นเท่านั้น การ
เสริมแรงที่ให้ในเวลาใกล้เป้าหมายจะช่วยทาให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
- 22. ทฤษฎีปัญญานิยม
ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive Learning Theories) หรือบางตารา
เรียกว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) หรือกลุ่มความรู้
ความเข้าใจ หรือกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด นักคิดกลุ่มนี้
เริ่มขยายขอบเขตของความคิดที่เน้นทางด้านพฤติกรรมออกไปสู่กระบวนการ
ทางความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่า การ
เรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่ง
เร้าเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น การเรียนรู้
เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมและการแก้ปัญหาต่างๆ การ
เรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความ
เข้าใจให้แก่ตนเอง (ทิศนา แขมณี. 2545: 59)
- 23. ทฤษฎีปัญญานิยม
แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของกลุ่มปัญญานิยม (จิราภา เต็งไตรรัตน์ และ
คณะ. 2550: 133-136)
1. การเรียนรู้โดยการหยั่งรู้ (Insight learning) ผู้ทาการทดลองเกี่ยวกับ
กระบวนการรู้คิดและการคิดแก้ไขปัญหาโดยการหยั่งรู้
2. การเรียนรู้โดยเครื่องหมาย (sign learning) เป็นแนวคิดของ Tolman
ซึ่งการเรียนรู้ตามแนวคิดนี้
3. การเรียนรู้แฝง (latent learning) เป็นแนวคิดของ Tolman and Honzik
ซึ่งอธิบายว่า การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่แสดงออกมาให้เห็นในระหว่าง
ที่เกิดการเรียนรู้เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายมีแรงขับ (drive) ต่า หรือไม่มี
รางวัลจูงใจ
- 24. ทฤษฎีปัญญานิยม
แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของกลุ่มปัญญานิยม (ทิศนา แขมณี. 2545: 59-60)
1. ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ
การรับรู้ (perception) และ การหยั่งเห็น (insight)
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
2.1 พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทาง สิ่งใดที่อยู่ในความสนใจและความ
ต้องการของตนจะมีพลังเป็นบวก สิ่งที่นอกเหนือจากความสนใจจะมีพลัง
เป็นลบ
2.2 การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทาไปสู่
จุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ
- 25. ทฤษฎีปัญญานิยม
แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของกลุ่มปัญญานิยม (ทิศนา แขมณี. 2545: 59-60)
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) “การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมาย
เป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมายปลายทาง” เช่น รางวัล
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์ (Inlellectual Development
Theory) พัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการ
อย่างไร เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทาง
สติปัญญา
5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal
Learning) การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถ
เชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน
- 26. ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม
ทฤษฎีการสร้างความรู้มีรากฐานมาจากทฤษฎีการสร้างเชาว์ปัญญา
ของเพียเจต์ ( Piajet) และ ไวก็อทสกี้ (Vygotsky) ซึ่งอธิบายว่า โครงสร้างทาง
สติปัญญา (Scheme) ของบุคคลมีการพัฒนาผ่านทางกระบวนการดูดซับหรือซึม
ซับ (assimilation) และกระบวนการปรับโครงสร้างทางสติปัญญา
(accommodation) เพื่อให้บุคคลอยู่ในภาวะสมดุล ( equilibrium) ซึ่งเพียเจต์เชื่อ
ว่าทุกคลจะมีพัฒนาการตามลาดับขั้นจากการมีปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์กับ
สิ่งแวดล้อมและสังคม ส่วนไวก็อทสกี้ให้ความสาคัญกับวัฒนธรรม สังคม และ
ภาษามากขึ้น
- 28. ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ขั้นนา (orientation) เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะรับรู้ถึงจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจ
2. ขั้นทบทวนความรู้เดิม (elicitation of the prior knowledge) เป็นขั้นที่ผู้เรียน
แสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน
3. ขั้นปรับเปลี่ยนความคิด (turning restructuring of ideas) นับเป็นขั้นตอนที่
สาคัญหรือเป็นหัวใจสาคัญตามแนว Constructivism
3.1 ทาความกระจ่างและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและกัน
3.2 การสร้างความคิดใหม่
3.3 ประเมินความคิดใหม่
- 30. ทฤษฎีการเชื่อมโยง
ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectivism) หรือบางตาราเรียกว่า ทฤษฎี
การเชื่อมต่อ ซึ่ง Cynthia M. DeWitte (2010) ทฤษฎี connectivism เป็นสิ่ง
สาคัญเพื่อการศึกษาครั้งนี้เพราะมุ่งเน้น ความจาเป็นสาหรับผู้เรียนที่จะใช้
วิธีการต่างๆและเครื่องมือในการเข้าถึงในการรับและการเชื่อมต่อ ความรู้
อุปกรณ์มือถือมากขึ้นโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถืออาจจะมีความสามารถในการ
อานวยความสะดวกในการเรียนรู้ดังกล่าว Connectivism การเรียน
จาเป็นต้องเข้าถึงและให้การเชื่อมต่อระหว่างโหนดภายในระบบนิเวศการ
เรียนรู้ของตนโดยใช้รูปแบบต่างๆของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือเป็น
เครื่องมือที่สามารถใช้เพื่อนาทางนิเวศวิทยาการเรียนรู้
- 31. ทฤษฎีการเชื่อมโยง
หลักการที่สาคัญของ Connectivism
1. การเรียนรู้และความรู้ คือสิ่งที่หลงเหลือจากการแสดงความคิดเห็นที่
หลากหลายในความหมายนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าความรู้นั้นจะเกิดขึ้นมาได้
ต้องอาศัยการแสดงความคิดเห็นของคนที่หลากหลาย
2. การเรียนรู้ คือกระบวนการของการเชื่อมต่อระหว่าง โหนด (Node) อย่าง
จาเพาะเจาะจง หรือแหล่งข้อมูลสาคัญ
3. การเรียนรู้ อาจเกิดขึ้นในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ ตัวอย่างเทียบเคียง อาทิเช่น
ในหุ่นยนต์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
4. ความสามารถในการรับข้อมูลเพิ่มเติม มีความสาคัญกว่าข้อมูลที่มีอยู่ใน
ปัจจุบันตรงนี้ผู้เขียนคิดว่าน่าจะหมายถึงทักษะของตัวผู้เรียนที่ต้องมี
ความสามารถในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
- 35. กรณีศึกษา
รัฐสาน์ เลาหสุรโยธิน (2553: ก-ข) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาโมเดลสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทีมเรียนรู้เสมือนจริง
วัตถุประสงค์
1. เพื่อออกแบบและพัฒนาโมเดลสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์
ที่ส่งเสริมทีมเรียนรู้เสมือนจริงของนักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
2. ศึกษาการพัฒนาทีมเสมือนจริงของผู้เรียนที่เรียนจากโมเดลสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทีมเรียนรู้เสมือนจริง
3. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนจากโมเดลสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทีมเรียนรู้เสมือนจริง
4. ศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่เรียนจากโมเดลสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ตาม
แนวคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทีมเรียนรู้เสมือนจริง ผลการวิจัยสรุปได้ตาม