More Related Content Similar to ระบบหมุนเวียนเลือด (20) More from Thitaree Samphao (7) ระบบหมุนเวียนเลือด 2. สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และอธิบายการลาเลียงในร่างกายของ
สัตว์บางชนิด
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับการลาเลียงสารใน
ร่างกายของคน
สืบค้นข้อมูล ศึกษา อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบและ
หน้าที่ของเลือด
จุดประสงค์การเรียนรู้
4. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ไม่มีอวัยวะที่ทาหน้าที่เป็นระบบลาเลียงสาร
โมเลกุลอาหารหรือก๊าชต่างๆ จะแพร่เข้าออก
ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด
โพรโตซัว
ฟองน้าและไฮดรา
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่าน
ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular
Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ
ระบบหมุนเวียน
6. ไม่มีระบบเลือด
ใช้การหมุนเวียนของเหลวใน Pseudo coelom
หนอนตัวกลม (P. Nematoda)
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ไม่มีระบบเลือด
ดาวทะเล (P. Echinodermata)
ใช้ระบบลาเลียงน้า (Water vascular
system) ในการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อม
มีท่อรัศมีที่แยกมาจากท่อวงแหวน เป็นทางน้า
ผ่านทาหน้าที่ลาเลียงนั่นเอง
8. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (Clased circulatory system): เลือดจะไหลเวียน
ภายในท่อของหลอดเลือดและหัวใจตลอดเวลา พบในสัตว์พวกแอนเนลิดเป็นพวก
แรก
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด (Open circulatory system): เลือดออกจากหัวใจ
แล้วไม่ได้ไหลเวียนเฉพาะในหลอดเลือด แต่จะไหลผ่านช่องว่างของลาตัวและที่ว่าง
ระหว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เลือดและน้าเหลืองปะปนกันและมีส่วนประกอบ
เหมือนกัน เรียกว่า Hemolymph และช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อที่เป็นทางผ่านของ
Hemolymph เรียกว่า Hemocoel
ระบบหมุนเวียนเลือด
9. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
หัวใจ (Heart): ส่วนของหลอดเลือดที่โป่งออก
ซ้ายและขวาของหัวใจที่โป่งออก มีรูเล็กๆ ที่มีลิ้น
ปิด-เปิด เรียกว่า ออสเทีย (Ostia)
จากหัวใจมีหลอดเลือดพาดตามยาวไปที่หัวของ
แมลง
หัวใจบีบตัว: เลือดไหลไปตามหลอดเลือดและ
ปะปนในช่องว่างในลาตัว (Haemocel)
หัวใจคลายตัว: ลิ้นหัวใจที่ Ostia เปิดเลือด
จากเนื้อเยื่อไหลเข้าสู่หัวใจ
ลิ้นหัวใจเปิด-ปิดเป็นจังหวะเลือดไหลไปทาง
เดียวตลอด
ระบบหมุนเวียนเลือดในแมลง
11. พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด
เลือด: น้าเลือด+เม็ดเลือด
เฮโมโกลบิล ละลายอยู่ในน้าเลือดทาหน้าที่ลาเลียง
O2 ไปให้เซลล์
ห่วงหลอดเลือดพองออกรอบๆ หลอดอาหาร
ประมาณ 5 ห่วง เรียกว่า หัวใจเทียม
(Pseudoheart) ทาหน้าที่สูบฉีดเลือด
การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดที่เนื้อเยื่อและหลอดเลือด
ฝอย
เลือดจากหลอดเลือดฝอยรวมตัวเป็นหลอดเลือด
ขนาดใหญ่และส่งเลือดสู่หลอดเลือดด้านหลัง เมื่อ
หลอดเลือดบีบตัวจะส่งเลือดเข้าหัวใจเทียม
ระบบหมุนเวียนเลือดในไส้เดือนดิน
12. อวัยวะสูบฉีดเลือด 3 แห่ง
Gill heart: มี 2 แห่ง ทาหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 ต่า ที่ส่งมาจากอวัยวะภายในไป
ยังเหงือกเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
Systemic heart: มี 1 แห่ง หน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 สูงไปยังอวัยวะภายในและ
เนื้อเยื่อต่างๆ
เลือดที่มี O2 ที่ส่งมาจาก Systemic heart เป็นเลือดที่ฟอกแล้วจากเหงือก
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลาหมึก
13. มีหัวใจ 2 ห้อง : 1 Atrium และ 1 Ventricle
เลือดที่ไหลผ่านหัวใจจะเป็นเลือดที่มี O2 ต่าเท่านั้น
เลือดที่ใช้แล้วเข้าสู่หัวใจทาง Atrium และถูกส่งออกทาง Ventricle ไปยัง Gill เพื่อ
แลกเปลี่ยนแก๊ส
เลือดที่ออกจาก Gill เป็นเลือดที่มี O2 มากจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลา
14. มีหัวใจ 3 ห้อง: 2 Atrium และ 1 Ventricle
Right Atrium: รับเลือดที่ใช้แล้วซึ่งมี CO2 สูงจากหลอดเลือด Vein
Left Atrium: รับเลือดที่ฟอกแล้วจาก lung ซึ่งมี O2 สูง
เลือดจาก Atrium ทั้ง 2 ถูกส่งมาที่ Ventricle ซึ่งเลือดจะปะปนกันเล็กน้อย
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก
15. มีหัวใจ 4 ห้อง แต่ผนังกล้ามเนื้อกั้นห้อง
Ventricle ยังแบ่งไม่สมบูรณ์
ถือว่ามีหัวใจ 4 ห้อง ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น
จระเข้ที่มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์เลื้อยคลาน
16. มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์: 2 Atrium และ 2 Ventricle
มีประสิทธิภาพในการทางานสูงเพราะแยกเลือดที่มี O2 สูง และเลือดที่มี CO2 สูงออก
จากกันโดยเด็ดขาด
ระบบหมุนเวียนเลือดในนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
19. หัวใจ (Heart)
การเต้นของหัวใจ (conducting system)
ความดันเลือด (Blood pressure)
หลอดเลือด (Blood vessel)
ส่วนประกอบของเลือด
หมู่เลือดและการให้เลือด
โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนเลือดในคน
20. โครงสร้างของหัวใจ: กว้าง 9 cm ยาว 12 cm และหนา 5 cm
กล้ามเนื้อหัวใจ: เนื้อเยื่อ 3 ชั้น:
ชั้นนอก (Epicardium): ชั้นเยื่อหุ้มหัวใจ มีไขมันมาก ผนังด้านนอกมีหลอด
เลือดนาเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เรียกว่า Coronary artery
ชั้นกลาง (Myocardium): หนาที่สุด ประกอบขึ้นจาก Cardiac muscle
ชั้นใน (Endocardium): ประกอบด้วยเนื้อเยื่อบุผิวกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อ
เกี่ยวพัน
หัวใจ (HEART)
23. มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle
Right Atrium: หัวใจห้องบนขวา ขนาด
เล็ก ผนังกล้ามเนื้อบาง รับเลือดที่ใช้แล้ว
จาก Superior vena cava (เลือดจากหัว
และแขน) และ Inferior vena cava (เลือด
จากลาตัว และขา)
Right Ventricle: หัวใจห้องล่างขวา ขนาด
เล็ก ช่องภายในเป็นรูปสามเหลี่ยม หน้าที่รับ
เลือดจาก Right Atrium แล้วส่งไปฟอกที่
ปอด โดยส่งไปทาง Pulmonary artery
หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
24. มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle
Left Atrium: หัวใจห้องบนซ้าย ขนาดเล็ก
ผนังบาง หน้าที่รับเลือดที่ฟอกแล้ว
(Oxygenated blood) จากปอดที่ลาเลียง
มากับหลอดเลือด Pulmonary vein
Left Ventricle: หัวใจห้องล่างซ้าย ผนัง
กล้ามเนื้อหนาที่สุด หน้าที่รับเลือดจาก Left
Atrium แล้วสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย โดยส่งไปทาง หลอดเลือด Aorta
หัวใจ (HEART) : ห้องหัวใจ
26. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
Tricuspid valve:
อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Right
Atrium กับ Right Ventricle
ลักษณะเป็น 3 แผ่น
ลิ้นหัวใจนี้ฝังตัวอยู่ในผนังหัวใจ
ห้อง Ventricle โดยอาศัย
chordae tendineae เป็นตัวยืด
เพื่อควบคุมการเปิดปิดลิ้น
ป้องกันไม่ให้เลือดใน Ventricle
ไหลย้อนกลับขึ้นสู่ Atrium
27. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
Pulmonary valve หรือ
Semilunar valve :
อยู่ที่โคนของหลอดเลือด
Pulmonary artery
ลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่ง
เสี้ยว 3 ใบบรรจบกันแต่ไม่ยึด
ติดกันด้วย chordae tendineae
หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลกลับลงสู่
Right Ventricle
28. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
Bicuspid valve หรือ Mitral valve:
อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Left
Atrium และ Left Ventricle
คล้ายกับ Tricuspid valve แต่มี
2 แผ่น ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อ
เกี่ยวพัน chordae tendineae
หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดใน Left
Ventricle ไหลย้อนกลับขึ้นไปที่
Left Atrium
29. หัวใจ (HEART) : ลิ้นหัวใจ
ป้องกันเลือดไม่ให้ไหลย้อนกลับ
Aortic valve หรือ Semilunar
valve :
อยู่ที่โคนของหลอดเลือด Aorta
ลักษณะเป็นวงรูปพระจันทร์ครึ่ง
เสี้ยว
หน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับลงมาใน Left
Ventricle
33. เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
หัวใจเป็นจังหวะสม่าเสมอ เรียกว่า ชีพจร
วัดได้จากหลอดเลือดแดงหรือ artery วัด
เป็นจานวนครั้งต่อนาที เรียกว่า อัตราการเต้น
ของหัวใจ
คนปกติมีอัตราการเต้นอยู่ระหว่าง 72-85
ครั้ง/นาที ขึ้นอยู่กับ กิจกรรมที่ทา อายุ วัย
และเพศ
การบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจส่งผล
ให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า เรียกว่า
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram)
หัวใจ (HEART) : การเต้นของหัวใจ
34. SA node นากระแสความรู้สึกได้เอง เพราะมีผู้ให้จังหวะคือ pace marker
เริ่มจาก SA node กระจายความรู้สึกไปให้ เอเตรียมซ้ายatrium ขวาและซ้าย
บีบตัวส่งกระแสประสาทไปยัง AV node ที่ฐานของ atrium ขวา
หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
35. AV node ส่งความรู้สึกไปไม่ทั่ว Ventricle Ventricle ไม่สามารถบีบตัว
ก่อนที่ Atrium คลายตัว
บริเวณ AV node มี bundle of his เป็นเส้นใยแยกไป Ventricle ซ้ายและขวา
โดยแตกเป็นกิ่งเล็กๆ เรียกว่า purkinje fiber กระตุ้นให้ Ventricle บีบตัว
พร้อมกันบีบตัวมาก เกิดแรงดันเลือดส่งไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย
เครื่องมือตรวจฟังของแพทย์ : stetoscope
หัวใจ (HEART) : กลไกการเต้นของหัวใจ
36. เกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องเวนตริเคิลซ้าย ทา
ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดแดงเอออร์ตา
ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) เป็น
ค่าสูงสุดที่หัวใจบีบตัวปกติ คนปกติมีค่าประมาณ
120 mmHg
ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure) :
เป็นค่าความดันที่หัวใจกาลังคลายตัว ปกติมี
ค่าประมาณ 80 mmHg
บันทึกค่าความดัน 2 ค่าเป็น 120/80
ขณะนอนราบกับพื้น ความดันปลายเท้าใกล้เคียง
ความดันที่อก เลือดหมุนเวียนในแนวนอน
ขณะยืนความดันบริเวณขาสูงที่สุด และศีรษะน้อย
ที่สุด เพราะเลือดไหลลงตามแรงดึงดูดของโลก
ความดันเลือด (BLOOD PRESSURE : BP)
37. ความดันเลือดต่า (Hypotension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักต่ากว่า
ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน
ความดันเลือดสูง (Hypertension): สภาวะที่ความดันเลือดในขณะพักสูงกว่า
ความดันปกติของคนทั่วไป ในเพศและวัยเดียวกัน
ความผิดปกติเกี่ยวกับความดันเลือด
39. หลอดเลือด (BLOOD VESSEL)
ระบบอาร์เทอรี (Arterial system) : มีทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วน
ต่างๆ ของร่างกาย
ระบบเวน (Venous system): ทิศทางออกจากปอด และส่วนต่างๆ ของร่างกาย
และมีทิศเข้าสู่หัวใจ
ระบบหลอดเลือดฝอย (Capillarial system): แทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อ และเชื่อมต่อ
ระหว่างระบบอาร์เทอรี กับ ระบบเวน
42. ขนาดเล็ก ผนังบาง
ประกอบด้วยเซลล์เอนโดทีเลียล เรียง
ตัวชั้นเดียว
ไม่มีกล้ามเนื้อและเส้นใยอิลาสติน
สานกันเป็นร่างแหตามเนื้อเยื่อ
เชื่อมต่อระหว่าง อาร์เทอริโอล
และเวนูล
ทาหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร แก๊ส และ
สารต่างๆ
ระบบหลอดเลือดฝอย (CAPILLARY)
43. หน้าที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ
ของร่างกายกลับเข้าหัวใจ
Vena cavaVeinVenule
มีผนัง 3 ชั้น
ผนังบางกว่า อาร์เทอรีเนื่องจาก
กล้ามเนื้อน้อยกว่า
แรงดันเลือดในหลอดเลือดเวนต่ากว่า
อาร์เทอรี ใกล้หัวใจแรงดันเลือดจะต่า
เนื่องจากอยู่ห่างแรงบีบของหัวใจ
ผนังยืด ขยายได้
หลอดเลือนเวนขนาดใหญ่จะมีลิ้นกั้น
เป็นระยะ ป้องกันไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับ ยกเว้น pulmonary vein
หลอดเลือดเวน
46. ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลอดเลือดอาร์เทอรี เวน และหลอดเลือดฝอยในหัวข้อ
1. ทิศทางการไหลของเลือดในหลอดเลือด
2. ลักษณะของเลือดในหลอดเลือด
3. ลิ้นในหลอดเลือด
4. ความหนาของผนังหลอดเลือด
5. ปริมาณเลือดในหลอดเลือด
6. การมองเห็นจากภายนอก
7. ความเร็วของกระแสเลือดในหลอดเลือด
8. การไหลของเลือดในหลอดเลือด
9. แรงดันเลือด
หลอดเลือด
48. ของเหลวใส
หน้าที่ลาเลียงสาร
H2O 90% : ตัวพาเซลล์เม็ดเลือดให้หมุนเวียน
ในหลอดเลือด
Protein: albumin ทาให้เกิดแรงดันออสโม
ซิส, α-globulin เป็นตัวพา bilirubin ไปที่
ตับ, ß-globulin เป็นส่วนประกอบของ
antibody, fibrinogen และ prothrombin
เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
น้าตาล ไขมัน แอนติบอดี เซรัม และของเสีย
ส่วนประกอบของเลือด : พลาสมา (PLASMA)
49. สร้างจากไขกระดูก (bone marrow)
ในไขกระดูก: มีนิวเคลียส,
เข้าหลอดเลือด นิวเคลียสของ RBC และ
platelets สลายไป
Red blood cell : RBC หรือ erythrocyte
White blood cell : WBC หรือ leucocyte
platelets
ส่วนประกอบของเลือด : เซลล์เม็ดเลือด (BLOOD CELL)
50. รูปร่าง : กลม ตรงกลางบุ๋ม พื้นผิวเป็นโปรตีน
Hemoglobin มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ
ระยะเอ็มบริโอ : สร้างจากถุงไข่แดง (yolk sac),
ม้าม (spleen), ตับ ต่อมน้าเหลือง ไขกระดูก
หลังคลอด สร้างที่ไขกระดูก
ขณะสร้าง : เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส
อายุ: 100-120 วัน
โตเต็มที่ : นิวเคลียสสลายพร้อมไมโทคอนเดรีย
และไรโบโซม
ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดง: ตับ ม้าม
หน้าที่: ขนส่ง O2 ลาเลียง O2 ไปเลี้ยงร่างกาย
โดย O2 จับกับ hemoglobin ได้เป็น
oxyhemoglobin
RED BLOOD CELL
51. โตกว่า จานวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดง มี
นิวเคลียส
อายุ: 2-3 วัน
สร้างจาก: ไขกระดูก ม้าม ต่อมไทมัส ต่อม
น้าเหลือง
ถูกทาลาย: โดยเชื้อโรค
จานวนเพิ่มขึ้นเมื่อติดเชื้อ (infection)
เด็ก > ผู้ใหญ่
หน้าที่: ป้องกันหรือทาลายเชื้อโรคและต่อต้าน
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยวิธี
phagocytosis
แบ่งเป็น 2 ชนิด: granulocyte และ
agranulocyte
WHITE BLOOD CELL
52. อยู่ในไซโทพลาซึม มีนิวเคลียสใหญ่คอดเป็นพู (lobe) มี 3 ชนิด
Neutrophil: แกรนูลละเอียด ติดสีชมพู นิวเคลียสแยกเป็นพู
หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis มี lysosome มาย่อย
เรียกว่า microphage
Basophil: แกรนูลใหญ่ ย้อมติดสีม่วง นิวเคลียสคล้ายตัว S ทา
หน้าที่สร้าง histamine serotonin (ทาให้กล้ามเนื้อผนังหลอด
เลือดหดตัว) และเฮปารีน (ทาให้เลือดในหลอดเลือดเหลว
ตลอดเวลา) หน้าที่กินแบคทีเรีย ช้ามาก
GRANULOCYTE
54. นิวเคลียสใหญ่ มี 2 ชนิด
Lymphocyte: นิวเคลียสกลม เกือบเต็ม
เซลล์ เคลื่อนที่ได้ หน้าที่สร้างแอนติบอดี
สร้างสารต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
มี 2 ชนิด คือ T-cell (สร้างที่กระดูก
เจริญที่ต่อมไทมัส) และ B-cell (สร้าง
และเจริญในไขกระดุก)
Monocyte: ใหญ่ที่สุด นิวเคลียสรีคล้าย
รูปไตเกือบเต็มเซลล์ ทาลายสิ่ง
แปลกปลอม เคลื่อนที่ได้โดยวิธี
phagocytosis ทางานร่วมกับ
Neutrophil กินสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
เรียกว่า macrophage
เม็ดเลือดขาวสามาเคลื่อนที่ผ่านผนัง
หลอดเลือดออกมาที่เนื้อเยื่อได้
AGRANULOCYTE
56. รูปร่างไม่แน่นอน ชิ้นเล็กๆ ในน้าเลือด
เกิดจาก: cytoplasm และ megakaryocyte
ในไขกระดูก
megakaryocyte 1 cell สร้าง platelets ได้
3,000-4,000 platelets
ไม่มีนิวเคลียส
เลือด 1 ml มี 250,000 platelets
อายุ: ประมาณ 7-10 วัน
PLATELETS
58. ขั้นที่ 1 : Thromboplastin จาก platelet และเนื้อเยือที่ได้รับอันตราย
ขั้นที่ 2 : Thromboplastin เปลี่ยน Prothrombin ให้เป็น Thrombin โดย
อาศัย Ca2+ และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดใน plasma
ขั้นที่ 3 : Thrombin ไปเปลี่ยน Fibrinogen เป็น Fibrin
ขั้นที่ 4 : Fibrin เส้นเล็กๆ รวมตัวเป็นเส้นใยไฟบริน และไปประสานกันเป็น
ร่างแห และมี platelet เม็ดเลือดต่างๆ มาเกาะติดอยู่ภายใน เกิดเป็นก้อนแข็ง
ร่างแห Fibrin หดตัวรัดเข้าช่วยตึงบาดแผลให้เข้าชิดกันและปิดปากแผล
หลังการแข็งตัวของเลือด: ของเหลวในร่างแหไฟบรินถูกบีบออกข้างนอก เป็นน้า
ใสๆ เรียกว่า Serum ซึ่งไม่มี Fibrinogen หรือ Fibrin
กลไกการแข็งตัวของเลือด (BLOOD CLOTTING)
62. Rh+: มี Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มี Antibody Rh ในพลาสมา
Rh-: ไม่มีทั้ง Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง และ Antibody Rh ใน
พลาสมา แต่สามารถสร้าง antibody ได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจาก Antigen
Rh- รับเลือดได้จากคนที่มี Rh- เหมือนกันเท่านั้น
Rh+ รับเลือดได้ทั้งชนิด Rh+ และ Rh-
หมู่เลือดระบบ RH
63. หมู่เลือดระบบ RH
ถ้าผู้รับเลือด Rh- ได้รับเลือด Rh+ เข้าไป ร่างกายของผู้รับจะสร้าง Antibody Rh
ขึ้น ในตอนแรกยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าได้รับเลือด Rh+ ในครั้งต่อไป Antibody Rh
ในร่างกายผู้รับจะต่อต้าน Antigen Rh ของผู้ให้ทาให้เป็นอันตราย
ถ้ามารดามี Rh- แต่ลูกมี Rh+ เลือดจากทารก Rh+ ผ่านเข้าไปในระบบเลือดของ
มารดา กระตุ้นให้เลือดของมารดาสร้าง Antibody Rh และ Antibody จะทา
ปฏิกิริยาต่อแอนติเจน Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก ทาให้เซลล์เม็ดเลือด
แดงจับตัวและถูกทาลาย เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เรียกว่า erythroblastosis
fetalis
67. 4. ข้อใดไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด
ก เลือดจากปอดที่นาออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องผ่านลิ้น
ไตรคัสปิดและเซมิลูนาร์ในหัวใจ
ข ความดันเลือดในพัลโมนารีอาร์เตอรี สูงกว่าในพัลโมนารีเวน
ค อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถวัดได้จากการเต้นของชีพจร
ง ถ้าโคโรนารีอาร์เตอรี ตีบหรือแห้ง จาทาให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
แนวข้อสอบ
68. 5. กรณีในข้อใดที่ทาให้ทารกในครรภ์คนที่ 2 มีโอกาสเกิด อีรีโทรบลาสโทซิส
ฟีทาลิส
ก แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh+ คนที่ 2
มีหมู่เลือด Rh-
ข แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh-
ค แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh- คนที่ 2 มี
หมู่เลือด Rh+
ง แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh+
แนวข้อสอบ
69. 6. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับหมู่เลือด
ก คนที่มีหมู่เลือด O สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด B ได้โดยไม่
เป็นอันตราย เพราะหมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจน A ที่จับกับแอนติบอดี A ของ
หมู่เลือด B
ข คนที่มีหมู่เลือด A ไม่สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด AB ได้
เพราะแอนติเจน B จากหมู่เลือด AB จะจับกับแอนติบอดี B ของหมู่เลือด A
ค. คนที่มีหมู่เลือด Rh- สามารถรับเลือดได้จากทั้งหมู่เลือด Rh- และ
Rh+
ง แม่ที่มีหมู่เลือด Rh+ ถ้ามีทารกในครรภ์คนที่ 2 หรือ 3 เป็น Rh-
อาจทาให้ทารกเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิสได้
แนวข้อสอบ