More Related Content
Similar to แบบเสนอโครงร่างโครงงาน
Similar to แบบเสนอโครงร่างโครงงาน (20)
แบบเสนอโครงร่างโครงงาน
- 1. แบบเสนอโครงร่างโครงงาน
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ 6
ปีการศึกษา 2558
ชื่อโครงงาน ตามรอยเทคโนโลยีของมนุษย์
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นายภูศานต์ มูลเมือง เลขที่ 37 ชั้น ม.6/6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาการดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2558
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
นายภูศานต์ มูลเมือง เลขที่ 37 ชั้น ม.6 ห้อง 6
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) ตามรอยเทคโนโลยีของมนุษย์
ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ) Trail of Human and Technologies
ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นายภูศานต์ มูลเมือง
ชื่อครูที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม -
ระยะเวลาดาเนินงาน 2 เดือน
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทางานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ
เข่น อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ หรือ แม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น
กระบวนการต่าง ๆ
มนุษย์นั้นมีความสามารถ มนุษย์รู้จักคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เสมอไม่มีที่สิ้นสุด ตามยุคสมัย
เราจะเห็นได้ว่า บางสิ่งที่คนเราคิดค้น นั้นกาเนิดมาตั้งแต่อดีต แต่โบราณ และมีการกาเนิด
ประดิษฐ์ คิดค้น สิ่งใหม่ๆ มาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน
การศึกษาความเป็นมาในอดีต จะได้ทราบถึงจุดประสงค์ของผู้คิดค้นสิ่งนั้น
และเป็นแนวทางในการศึกษาต่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลกอดีตถึงปัจจุบัน
- 3. วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับยุค / ช่วงสมัย ของมนุษย์
2. ศึกษาการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา
ขอบเขตการทางาน
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ตามรอยเทคโนโลยีมนุษย์ จัดทาขึ้นมาเพื่อศึกษา
และเรียนรู้ เกี่ยวกับการคิดค้นสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ในอดีต
หลักการและทฤษฎี
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรจดบันทึกเรื่องราวของสังคม
นักโบราณคดีเป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ดึก
ดาบรรพ์หรือพิมพ์หิน โบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สิ่งของเครื่องใช้ ภาพวาดตามผนัง
หรือบนสิ่งของต่างๆ เป็นต้น โดยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการแบ่งเป็นยุคย่อย คือ ยุคหินกับยุค
โลหะ ทั้งนี้ยุคหินยังมีการแบ่งออกเป็นยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และ ยุคหินใหม่ ส่วนยุคโลหะก็มีการ
แบ่งเป็นยุคสาริดกับยุคเหล็ก
เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักนาหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธ นัก
โบราณคดีกาหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึง
ประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือ
หิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคหิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการเทคโนโลยีการทาเครื่องมือเครื่องใช้
ยังแบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้
1. ยุคหิน (Stone Age)
1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age) อยู่ระหว่าง 2,500,000 -10,000 ปี
มาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้าหรือเพิงผา ยังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้วัสดุ
ธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวร ดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บหาผลไม้ในป่า เมื่ออาหาร
ตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไป มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมือ
อย่างหยาบๆ เครื่องมือที่ใช้ทั่วไป คือ เครื่องมือหินกะเทาะ ที่มีลักษณะหยาบ ใหญ่ หนา กะเทาะ
- 4. เพียงด้านเดียวหรือสองด้าน ไม่มีการฝนให้เรียบ มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนาหนังสัตว์มาทาเป็น
เครื่องนุ่งห่ม รู้จักใช้ไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้แสงสว่าง ให้ความปลอดภัย และหุงหา
อาหาร มีการฝังศพ ทาพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย และมีการนาเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ
ของผู้ตายฝังไว้ในหลุมด้วย นอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบภาพวาด
ตามผนังถ้าที่ใช้สีฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่ สีดา น้าตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็น
ภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้า
ลาสโก ประเทศฝรั่งเศส
หลักฐานเครื่องมือหินที่นักโบราณคดีพบตามที่ต่างๆ เช่น ทวีปยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย
และทวีป อเมริกา ทาให้มีการตั้งชื่อมนุษย์ยุคนี้ตามสถานที่ที่พบหลักฐาน เช่น มนุษย์ชวา พบที่
เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย มนุษย์ปักกิ่ง พบที่ถ้าใกล้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล
พบที่หุบเขาแอนเดอร์ ประเทศเยอรมนี มนุษย์โครมันยองพบที่ถ้าโครมันยอง ประเทศฝรั่งเศส
มนุษย์โครมันยองเป็นมนุษย์ยุคหินเก่ารุ่นสุดท้าย (อายุระหว่าง 30,000-17,000 ปีมาแล้ว) ที่ค้นพบ
และมีลักษณะเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน
1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age) อยู่ระหว่าง 10,000-
6,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักทาเครื่องมือหินที่มีความประณีตมากขึ้นด้วยการกระเทาะ ผิวด้าน
ใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านออกให้เกิดความคม ทาให้เครืองมือหินในยุคนี้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การ
ใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้งเครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบ
หลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดยพบครั้ง
แรกในเวียดนามเรียกว่าวัฒนธรรมฮัวบิเนียน จัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินกลางของประเทศในเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อยู่ระหว่าง 6,000 -4,000 ปี
มาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติมากขึ้น รู้จัก
พัฒนาการทาเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ
เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้นกว่าเครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น มีดหินที่
สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้ามยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน หรือต่อ
ด้ามไม้สาหรับจับเป็นขวานหิน สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและ
ทอเป็นเชือกทาเป็นแหหรืออวนจับปลา ลักษณะสาคัญอีกประการหนึ่งที่จาแนกมนุษย์ยุคหินใหม่
ออกจากมนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในระดับที่ซับซ้อน
- 5. มากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลายชนิดมากขึ้น เช่น
แพะ แกะ และ วัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร
วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยู่ทั่วโลก แต่หลักฐานสาคัญที่มีลักษณะโดดเด่น คือ การสร้าง
อนุสาวรีย์หิน (Megalithic) ที่มีชื่อเสียง คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศอังกฤษ
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้คานวณเวลาทางดาราศาสตร์ เพื่อพิธีกรรม เพื่อบวงสรวงดวงอาทิตย์
และเพื่อผลผลิตทางการเพาะปลูก
2. ยุคโลหะ (Metal Age) เริ่มเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิด ด้วยการมีควา
สามารถ นาโลหะมาทาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเอง ในระยะแรกของยุคโลหะจะพบว่าพวกเขา
รู้จักหลอมทองแดงและดีบุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิไม่สูงนักในการหลอม ต่อมาจึงพัฒนาความรู้
และเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูง นักโบราณคดี
จึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยีและวัสดุที่นามาใช้ทา
เครื่องมือเครื่องใช้ ดังนี้
2.1 ยุคสาริด (Bronze Age) การเริ่มต้นของยุคสาริดในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันไป แต่ส่วน
ใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนาทองแดงผสมกับดีบุก
หลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า สาริด มาใช้ทาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มี
คุณภาพดีกว่าที่ทาจากหินขัดมาก การดารงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชน
เกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่าชุมชนเมือง มีการจัดแบ่งความสัมพันธ์
ของคนในสังคมตามความสัมพันธ์และความสามารถ ซึ่งพัฒนาการนี้ทาให้สังคมมีความมั่นคงและมี
การสั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา แหล่งอารยธรรมสาคัญที่มีพัฒนาการจากสังคม
สมัยหินใหม่สู่สมัยสาริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชีย-ตะวันตก แหล่งอารย
ธรรมลุ่มแม่น้าไนล์ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าสินธุในประเทศอินเดีย และแหล่ง
อารยธรรมลุ่มแม่น้าฮวงเหอในประเทศจีน เป็นต้น
2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age) เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว เป็นช่วงของการพัฒนาการทาง
เทคโนโลยีที่ต่อเนื่องจากยุคสาริด หลังจากที่มนุษย์สามารถนาทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอม
เป็นโลหะผสมได้แล้ว มนุษย์ก็คิดค้นหาวิธีนาเหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งและทนทานกว่าสาริด
มาทาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ ด้วยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสาริด
แล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากเหล็กใช้ทาเครื่องมือ
เครื่องใช้มีความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความแข็งแรงมากกว่าสาริด และมีความ
- 7. ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
1
6
17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผู้อ่านได้เรียนรู้ และทราบถึง เทคโนโลยีที่มนุษย์คิดค้นในอดีต
สถานที่ดาเนินงาน
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้
ประวัติศาสตร์
สังคมศึกษา
แหล่งอ้างอิง
http://hhistoryoftheworldd.blogspot.com/p/blog-page.html