More Related Content
Similar to ระบบสารสนเทศ (20)
ระบบสารสนเทศ
- 2. ระบบสารสนเทศ (INFORMATION SYSTEM)
• หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ระบบ
เครือข่าย ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ พนักงานที่เกี่ยวข้อง และ ผู้เชี่ยวชาญในสาขา ทุกองค์ประกอบนี้
ทางานร่วมกันเพื่อ
- 4. ประเภทของระบบสารสนเทศ
• 1. ระบบสารสนเทศสาหรับระดับ (Operational – level systems)
• 2. ระบบสารสนเทศสาหรับผู้ชานาญการ ผู้ชานาญการ (Knowledge-levelsystems)
• 3. ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร (Management - level systems)
• 4. ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ (Strategic-level system)
- 5. 1.ระบบสารสนเทศสาหรับระดัผูปฏิบัติงาน
(OPERATIONAL – LEVEL SYSTEMS)
• ช่วยสนับสนุนการทางานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทารายการต่างๆขององค์กร เช่น
ใบเสร็จรับเงิน รายการขาย การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการ
ดาเนินงานประจาแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น
- 10. 1.ระบบประมวลผลรายการ
(TRANSACTION PROCESSING SYSTEMS -
TPS)
• เป็นระบบที่ทาหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจา ทาการบันทึกจัดเก็บ ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยใช้
ระบบคอมพิวเตอร์ทางานแทนการทางานด้วยมือ ทั้งนี้เพื่อที่จะทาการสรุปข้อมูลเพื่อสร้างเป็นสารสนเทศ ระบบ
ประมวลผลรายการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้า ตัวอย่าง เช่น ระบบการจองบัตรโดยสาร
เครื่องบิน ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ เป็นต้น ในระบบต้องสร้างฐานข้อมูลที่จาเป็น ระบบนี้มักจัดทาเพื่อ
สนองความต้องการของผู้บริหารระดับต้นเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานประจาได้ ผลลัพธ์ของระบบนี้
มักจะอยู่ในรูปของ รายงานที่มีรายละเอียด รายงานผลเบื้องต้น
- 11. ระบบสานักงานอัตโนมัติ
(OFFICE AUTOMATION SYSTEMS- OAS)
• เป็นระบบที่สนับสนุนงานในสานักงาน หรืองานธุรการของหน่วยงาน ระบบจะประสานการทางานของบุคลากรรวมทั้ง
กับบุคคลภายนอก หรือหน่วยงานอื่น ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเอกสาร โดยการใช้ซอฟท์แวร์ด้านการ
พิมพ์ การติดต่อผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นผลลัพธ์ของระบบนี้มักอยู่ในรูปของ
เอกสาร กาหนดการ สิ่งพิมพ์
- 12. ระบบงานสร้างความรู้
(KNOWLEDGE WORK SYSTEMS - KWS)
เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ทางานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการใหม่
ความรู้ใหม่เพื่อนาไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน หน่วยงานต้องนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนา
เกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจาลองที่สร้าง
ขึ้น ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดาเนินการ ก่อนที่จะนาเข้ามาดาเนินการจริงในธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้มักอยู่
ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น
- 13. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(MANAGEMENT INFORMATION SYSTEMS-
MIS)
• เป็นระบบสารสนเทศสาหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง ใช้ในการวางแผน การบริหารจัดการ และการควบคุม ระบบ
จะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและ
จาเป็นต่อการบริหารงาน ตัวอย่าง เช่น ระบบบริหารงานบุคลากร ผลลัพธ์ของระบบนี้มักอยู่ในรูปของรายงาน
สรุป รายงานของสิ่งผิดปกติ
- 14. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
(DECISION SUPPORT SYSTEMS – DSS)
• เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสาหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหาคาตอบที่แน่นอนเพียง
บางส่วน ข้อมูลที่ใช้ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภายนอกกิจการประกอบกัน ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้
ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสาหรับสถานการณ์นั้น หลักการของระบบ สร้างขึ้นจากแนวคิดของการใช้
คอมพิวเตอร์ช่วยการตัดสินใจ โดยให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับระบบ ทาให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการ
พิจารณาได้ โดยอาศัยประสบการณ์ และ ความสามารถของผู้บริหารเอง ผู้บริหารอาจกาหนดเงื่อนไขและทาการเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขต่างๆ ไปจนกระทั่งพบสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้เป็นสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ รูปแบบของผลลัพธ์ อาจจะอยู่
ในรูปของ รายงานเฉพาะกิจ รายงานการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ การทานาย หรือ พยากรณ์เหตุการณ์
- 15. ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหารระดับสูง
(EXECUTIVE INFORMATION SYSTEMEIS)
• เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชิงกลยุทธ์สาหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทาหน้าที่กาหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของ
กิจการ สารสนเทศสาหรับผู้บริหารระดับสูงนี้จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลภายนอกกิจกรรมเป็นอย่างมาก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็น
ยุคGlobalization ข้อมูลระดับโลก แนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จาเป็นสาหรับการแข่งขันของธุรกิจ ผลลัพธ์ของ
ระบบนี้มักอยู่ในรูปของการพยากรณ์/การคาดการณ์
• ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะมีหลายประเภท แต่องค์ประกอบที่จาเป็นของระบบสารสนเทศทุกประเภท ก็คือต้องประกอบด้วย
กิจกรรม 3 อย่างตามที่ Laudon & Laudon (2001)ได้กล่าวไว้ คือ ระบบต้องมีการนาเข้าข้อมูล การประมวลผล
ข้อมูล และการแสดงผลลัพธ์ของข้อมูล
- 17. ด้านการศึกษา
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนามาใช้เพื่ออานวยความสะดวกในการบริหารด้านการศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน
และระบบการจัดตารางสอน นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มโอกาสทางด้านการศึกษาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน
การสอนตัวอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในด้านการศึกษา1. การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ทาให้ผู้ที่อยู่ห่างไกล
หรือไม่สะดวกในการเดินทางสามารถได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในเมือง
• 2. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษาต่างประเทศ ทาให้
บทเรียนมีความน่าสนใจมากขึ้น และเกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น การแสดงสถานการณ์จาลอง แบบจาลอง ภาพเคลื่อนไหว
แสงสีและเสียงประกอบ นักเรียนสามารถเตรียมตัวก่อนเรียน หรือทบทวนบทเรียนด้วยตนเองเมื่อใดก็ได้ที่มีเวลาว่าง
- 18. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนามาใช้เริ่มต้งแต่การทาทะเบียนคนไข้ การรักษาพยาบาลทั่วไป ตลอดจนการวินิจฉัยและรักษาโรค
ต่างๆ ได้อย่ารวดเร็วและแม่นยา นอกจากนี้ยังใช้ในห้องทดลอง การศึกษาและการวิจัยทางการแพทย์ รักษาคนไข้ด้วยระบบการรักษาทางไกล
ตลอดเวลาผ่านเครือข่ายการสื่อสาร เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า อีเอ็มไอสแกนเนอร์ ( EMI scanner ) ถูกนามาใช้ถ่ายภาพ
สมองมนุษย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในสมอง เช่น ดูเนื้องอกพยาธิเลือดออกในสมอง และต่อมาได้พัฒนาให้ถ่ายภาพหน้าตัดได้ทั่วร่างกาย
เรียกชื่อว่า ซีเอที ( CAT-Computerized Axial Tomography scanner: CAT scanner ) ใช้วิธี
ฉายแสงเป็นจังหวะไปรอบๆ ร่างกายของมนุษย์ ถ่ายเอ็กซเรย์และเครื่องรับแสงเอกซเรย์ที่อยู่ตรงข้ามจะเปลี่ยนแสงเอ็กซเรย์ให้เป็น
สัญญาณไฟฟ้าเก็บไว้ในจานแม่เหล็ก จากนั้นจะนาสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เข้าไปวิเคราะห์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และแสดงผลลัพธ์เป็นภาพ
ทางจอโทรทัศน์หรือพิมพ์ภาพออกมาทางเครื่องพิมพ์ ตัวอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมนด้านการแพทย์และสาธารณสุข
- 19. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนามาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดทาระบบข้อมูลเพื่อการเกษตรและ
พยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม การประดิษฐ์หุ่นยนต์เพื่อใช้
ทางานบ้าน และหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรงงาน สารเคมี โรงผลิตและ
ควบคุมการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงงานที่ต้องทาซ้าๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ และโรงงานแบตเตอรี่ ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการผลิตและควบคุมคุณภาพสินค้า การส่งสินค้าตามใบสางสินค้า การควบคุมวัสดุ
คงคลัง และการคิดราคาต้นทุนสินค้า ตัวอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในด้านอุตสาหกรรม