เรื่อง เมฆ
- 2. เมฆ (Clouds) คือ ละอองนํ้ าและเกล็ด
นํ้ าแข็งขนาดเล็ก ซึ่งลอยอยู่ในบรรยากาศเบื้องสูง
- 3. ในธรรมชาติ เมฆเกิดขึ้นโดยมีรูปร่าง 2 ลักษณะคือ
1. เมฆก้อนเรียกว่า “เมฆคิวมูลส” (Cumulus)
ั
2. เมฆแผ่นเรียกว่า “เมฆสเตรตัส” (Stratus)
หากเมฆก้อนลอยชิดติดกัน เรียกว่า “เมฆสเตรโตคิวมูลส”
ั
(Stratocumulus) เมฆฝนจะเพิ่มคําว่า “นิ มโบ”หรือ
“นิ มบัส” ซึ่งแปลว่า “ฝน” เข้าไป โดยเรียกเมฆก้อนที่ทาให้เกิดพายุฝนฟ้ า
ํ
คะนองว่า “เมฆคิวมูโลนิ มบัส” (Cumulonimbus) และเรียกเมฆ
แผ่นที่มีฝนตกปรอยๆ อย่างสงบว่า “เมฆนิ มโบสเตรตัส”
(Nimbostratus)
- 5. ้ ่
1. เมฆชันตํา อยู่สูงจากพื้นดินไม่
เกิน 2 กิโลเมตร มี 3 ชนิ ด ได้แก่
เมฆสเตรตัส เมฆสเตรโตคิวมูลส และ
ั
เมฆนิ มโบสเตรตัส
- 9. ้
2. เมฆชันกลาง เกิดขึ้นที่ระดับสูง 2 - 6 กิโลเมตร
้
ในการเรียกชื่อจะเติมคําว่า “อัลโต” ซึ่งแปลว่า “ชันกลาง”
้
ไว้ขางหน้า เช่น เมฆแผ่นชันกลางเรียกว่า
้
“เมฆอัลโตสเตรตัส” (Altostratus) เมฆก้อน
้
ชันกลางคือ “เมฆอัลโตคิวมูลส” (Altocumulus)
ั
- 12. ้
3. เมฆชันสูง เกิดขึ้นที่ระดับความสูง
มากกว่า 6 กิโลเมตร ในการเรียกชื่อจะเติมคําว่า “ซีรโ์ ร”
้
้
ซึ่งแปลว่า “ชันสูง” ไว้ขางหน้า เช่น เมฆแผ่นชันสูงเรียกว่า
้
้
“เมฆซีรโ์ รสเตรตัส” (Cirrostratus) เมฆก้อนชันสูง
เรียกว่า“เมฆซีรโ์ รคิวมูลส”(Cirrocumulus)
ั
้
นอกจากนั้นยังมีเมฆชันสูงที่มีรูปร่างเหมือนขนนก เรียกว่า
“เมฆซีรรส” (Cirrus)
์ั
- 18. เมฆคิวมูโลนิ มบัส (Cumulonimbus)
้
เมฆก่อตัวในแนวตัง พัฒนามาจากเมฆคิวมูลส มีขนาดใหญ่มาก ปก
ั
้
คลุมพื้นที่ครอบคลุมทังจังหวัด ทําให้เกิดพายุฝนฟ้ าคะนอง หาก
้
กระแสลมชันบนพัดแรง ก็จะทําให้ยอดเมฆรูปกะหลํา กลายเป็ นรูป
่
ทังตีเหล็ก ต่อยอดออกมาเป็ น เมฆซีรโรสเตรตัส หรือเมฆซีรรส
่
์
์ั