More Related Content
Similar to พระจันทร์ (20)
พระจันทร์
- 1. เทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเครื่องเซ่นไหว้เป็น
ขนมเปี๊ยะ เช่นเดียวกับเทศกาลอื่นๆ ที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ
กันไป เช่น เทศกาลไหว้ขนมจ้าง (端午節/端午节) ก็มี
ขนมบ๊ะจ่าง (粽子) เทศกาลหยวนเซียว (เทศกาลโคมไฟ)
(元宵節/元宵节) ก็มีขนมสาคูต้ม (ทางหยวน)
ขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ ภาษาจีนกลางเรียกว่า "เอ
วี้ยปิ่ง" (月餅) "เอวี้ย" (月) แปลว่า พระจันทร์ "ปิ่ง" (餅)
แปลว่า ขนมเปี๊ยะ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นศิริมงคล
ความปรารถนาดีต่อกัน และความสมัครสมานสามัคคี
เพราะในเทศกาลนี้คนในครอบครัวจะมาอยู่พร้อมหน้ากัน
กินขนมไปพลาง ชมพระจันทร์ไปพลาง
เดิมทีนั้นขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ มีชื่อเรียกว่า "หูปิ่ง"
แปลว่า ขนมเปี๊ยะวอลนัท ซึงเป็นขนมแป้งอบของจีนทำามา
่
จากงาและวอลนัท สาเหตุที่ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น "เอ
วี้ยปิ่ง" นั้นมีเรื่องเล่าว่า ในคืนวันไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง
- 2. พระเจ้าถังเสวียนจงฮ่องเต้ปรารภออกมาว่าชื่อ "หูปิ่ง" ไม่
ไพเราะ ขณะนั้นหยางกุ้ยเฟย (楊貴妃 / 杨贵妃) ซึงเป็น ่
หนึ่งในสี่อัครมเหสีของพระองค์ ซึงนั่งชมจันทร์อยู่ด้านข้าง
่
ก็เปรยขึ้นมาว่า "เอวี้ยปิ่ง" ทีแปลว่า ขนมเปี๊ยะพระจันทร์
่
ตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชื่อนี้เรียกแทน "หูปิ่ง" เรื่อยมา
ประวัติของวันไหว้พระจันทร์นั้น ยังมีเรื่องเล่าขานสืบ
ต่อกันมาเกี่ยวกับการกู้ชาติของชนชาวจีนอีกด้วย ในช่วงปี
ค.ศ.1279 ชาวมองโกลภายใต้การนำาของกุบไล ข่าน (
หลานปู่ของเจงกีส ข่าน) ได้รุกรานเข้าสู่แผ่นดินจีนในสมัย
ราชวงศ์ซ้อง สามารถโค่นล้มและยึดครองประเทศจีนได้
จากนั้นได้สถาปนาก่อตั้งราชวงศ์หยวน (元朝 Yuáncháo)
ขึ้นปกครองประเทศจีนในช่วงปี ค.ศ. 1280 – 1368
ช่วงปลายราชวงศ์หยวน รัชสมัยของพระเจ้า หยวนซุ่นตี้
เกิดความวุ่นวายและภัยพิบัติขึ้นมากมาย ราชสำานักอ่อนแอ
จึงทำาให้มีชาวจีนหลายกลุ่มคิดก่อการกบฏเพื่อกอบกู้แผ่น
ดินจีน แต่ว่าทางการออกคำาสั่งห้ามชุมนุมกัน จึงยากที่จะ
รวมกลุ่มเพื่อปรึกษาแผนการและระดมพล ในตอนนั้น มีนัก
ยุทธศาสตร์การศึก ชื่อ หลิวป๋ออุน (劉伯溫/刘伯温) ชาว
มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มกบฏที่นำาโดย จู
หยวนจาง (朱元璋) ได้คิดแผนการรวบรวมพลให้ก่อการ
ขึ้นพร้อมกัน เนื่องจากชาวมองโกลนั้นไม่นิยมกิน
ขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ ดังนั้นจึงอาศัยช่วงโอกาสนี้ทำา
ขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ทมีไส้หนา แล้วสอดไส้กระดาษ
ี่
ที่เขียนข้อความไว้ว่า “15 คำ่าเดือน 8 สังหารมองโกล”
(八月十五殺韃子) นำาออกแจกจ่ายให้กับชาวจีนทั้งหลาย
เมื่อถึงคืนวันไหว้พระจันทร์ กลุ่มชาวจีนทั้งหลายก็
ลงมือก่อการขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน และสามารถโค้นล้ม
ราชวงศ์หยวนลงได้ จูหยวนจางได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น
ฮ่องเต้ ก่อตั้งราชวงศ์หมิง (明朝) ขึ้น (ปี ค.ศ.1368 -
1644) นับจากนั้นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ทมีการไหว้ ี่
- 3. ขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์จงเป็นงานฉลองระดับชาติ เพื่อ
ึ
รำาลึกถึงเหตุการณ์ในครังนั้น
้
วันไหว้พระจันทร์
วันที่ 15 เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็นวัน
ไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่ชาวบ้านรับรู้และถือปฏิบัติมานม
นามว่าเป็นวันที่มีเสน่ห์และโรแมนติกวันหนึง โดยเฉพาะ
่
ภายใต้พระจันทร์ขาวนวลผ่องกลม ๆ ทีส่องอยู่บนท้องฟ้า
่
วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์กลมและใหญ่เป็นพิเศษ จึงเหมาะ
อย่างยิ่งที่บรรยากาศนี้จะเป็นโอกาสที่เหล่าหนุ่มสาวคู่รัก
นัดพบกันแต่ตำานานความเป็นมาของเทศกาลไหว้
พระจันทร์กลับมีที่มาแตกต่างกันหลายเรื่อง เช่น “ฉางเอ๋อ
สู่พระจันทร์ 嫦蛾奔月”
“การก่อการล้มล้างราชวงศ์หยวนของจูหยวนจาง 朱元璋
月饼起义” และ
“จักรพรรดิถัง หมิงท่องวังจันทรา 唐明皇游月宫” เป็นต้น
ความเป็นมาของเทศกาลไหว้พระจันทร์
เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีที่มีการสืบทอดมา
ช้านานของชาวจีน จากหลักฐานที่ปรากฏในยุคแรก ๆ คำา
ว่า “จงชิว 中秋” ได้ปรากฏในหนังสือที่ชื่อ “โจวหลี่
- 4. 周礼”(ธรรมเนียมปฏิบัติของโจว) ในยุคชุนชิว (ก่อน
คริสตกาล 770-476 ปี) จนถึง
ยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ตอนต้นจึงมีการกำาหนดวัน
เวลาแน่นอนสำาหรับการ
จัดเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นขึ้น 15 คำ่า เดือน 8 ดัง
ปรากฏในหนังสือบันทึกของ
ไท่จง 唐书·太宗记 แต่การนำาไปปฏิบัติอย่างแพร่หลายมี
ขึ้นในยุคของราชวงศ์
ซ่ง 宋朝(ค.ศ. 960-1279) จนหลายเป็นเทศกาลสำาคัญ
หนึ่งของจีนจนถึงทุกวันนี้
ตามปฏิทินจันทรคติของจีนนั้น เดือน 8 เป็นเดือนที่อยู่
กลางฤดูใบไม้ร่วง (秋季)
หรืออยู่เดือนที่สองของฤดูที่เรียกกันเดือนนี้ว่า“จงชิว 仲
秋” และวันที่ 15 ก็เป็น
วันที่อยู่กลางเดือนพอดี ฉะนั้นจึงเรียกเทศกาลไหว้
พระจันทร์นี้ว่า “จงชิว 中秋”
(中=กลาง ออกเสียงเหมือน 仲 แต่เขียนไม่เหมือนกัน ชิว
秋=ฤดูใบไม้ร่วง) กิจ
กรรมต่าง ๆ ในเทศกาลดังกล่าวล้วนเกี่ยวข้องกับพระจันทร์
จึงมีชื่อเรียกวันดังกล่าว
ต่าง ๆ นานา เช่น “月节 เทศกาลพระจันทร์”“月夕 คำ่าคืน
พระจันทร์” หรือบางทีก็
เรียก “团圆节 เทศกาลพบญาติ” (圆 หรือหยวนหมายถึง
กลมตามลักษณะของพระ
จันทร์ จึงหมายถึงกลมเกลียว)
ในกลางฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าไร้เมฆหมอก พระจันทร์
จึงสว่างไสวเป็นพิเศษ ชาวบ้านนอกจากมีกิจกรรมชม
จันทร์ ไหว้พระจันทร์ ทานขนมไหว้พระจันทร์ด้วยกันในหมู่
ญาติมิตรแล้ว บางแห่งยังมีการก่อนเจดีย์ รำามังกร เป็นต้น
- 6. เทศกาลไหว้พระจันทร์ ชาวจีนโดยปกติจะมีขึ้นใน
วันที่ 15 ( วันเพ็ญ) เดือน 8 ( เดือนกันยายน หรือตุลาคม)
เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงนี้จัดให้มีขึ้นเพื่อระลึกถึง
เทพธิดาแห่งพระจันทร์ ซึงเชื่อกันว่าถือกำาเนิดขึ้นในวันนี้
่
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้น
กำาเนิดของเทศกาลนี้ ยังคงไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่า
จักรพรรดิ์วูแห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบ
ไหว้พระจันทร์เป็นเวลา 3 วัน ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ แต่หลาย
คนก็แย้งว่า ความจริงแล้วเทศกาลนี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ.
1911 ในช่วงมองโกลยึดครองจีน
ขนมเค้กที่ทำาขึ้นก็เพื่อซุกซ่อนข้อความลับของพวก
กบฏ ที่มีถึงประชาชนทั่วทังประเทศ ให้มาชุมนุมกันครั้ง
้
ใหญ่ในเดือน 8 นี้ ทหารมองโกลไม่ได้ระแวงถึงจุด
ประสงค์ของพวกกบฏ เพราะคิดว่าขนมเค้กเหล่านั้น
เป็นการทำาตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจีน ด้วยเหตุนี้ในคืน
นั้นเอง ทหารมองโกลจึงถูกปราบเสียราบคาบ หลังจากที่
ราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์หมิงได้ถูกจัดตังขึ้นแล้ว ประเพณีนี้
้
ก็ถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้แล้ว
ก็ยังมีนิทานและตำานานอีกหลายเรื่อง หนึ่งในจำานวนนี้ก็คือ
เรื่องเกี่ยวกับนางเสี้ยงหงอ (บ้างก็เรียกฉางอี้) ซึ่งเป็นหญิง
ที่มีความงดงามมาก นางเป็นภรรยาของขุนนางจีนท่าน
หนึ่ง หลังจากที่นางทานยาวิเศษเข้าไป นางก็เหาะขึ้นไป
อยู่บนพระจันทร์ ภายหลังนางกลายเป็นอมตะหลังจากที่ได้
ดื่มนำ้าอมฤตของเทพธิดาองค์หนึ่งบนสวรรค์
กล่าวกันว่านางจันทรเทพธิดาเสี้ยงหงอ มีนำ้าใจเมตตาเอื้อ
อารีมาก พอถึงฤดูกาลเพาะปลูกนางก็จะประพรมนำ้าอมฤต
ลงมาบนพื้นโลก และนี่ก็นำามาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองแก่
ชาวไร่ชาวนาทั้งมวล เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อ
นางจันทรเทพธิดา ชาวนาจึงทำาขนมโก๋จากแป้งข้าวเจ้า
เพื่อสักการะนางในคืนวันเพ็ญเดือน 8
- 7. เนื่องจากว่าโดยปกติประเพณีต่างๆ ของชาวจีนจะ
เกี่ยวข้องกับการทำาอาหารพิเศษ ๆ เพื่อเป็นเครื่องสักการะ
ในวันนั้น แต่ว่าอาหารจีนที่ทำาขึ้นในวันไหว้พระจันทร์นี้
ไม่ใช่ขนมเค้กอย่างเช่นของชาวตะวันตกตามที่เข้าใจกัน
ในประเทศไทย ศิลปะการทำาขนมเค้กแบบชาวจีนนี้ถูกนำา
เข้ามาเผยแพร่โดยชาวจีนอพยพมากว่า 100 ปีมาแล้ว
ขนมไหว้พระจันทร์ของจีนแต่เดิมนั้น มีส่วนประกอบ
เช่น ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด และ เมล็ดบัว เป็นต้น ใน
ประเทศไทยก็มีส่วนประกอบที่แตกต่างออกไป เช่น การ
รวมเอาทุเรียน ลูกเกาลัด และลูกพลับเข้าไว้ด้วย เครื่อง
ปรุงที่ เพิ่มเข้ามาก็อาจจะรวมเอาเมล็ดบัว ไข่แดงเค็ม
และเมล็ดแตงโมด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า โดยปกติแล้วพิธีนี้
จะให้สตรีเป็นผู้ทำา เพราะว่าคนเชื่อกันว่าพระจันทร์มีส่วน
เกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับเทพเจ้าสตรีเรื่อยมา ดังนั้น จึง
มีการบูชาด้วยแป้งและเครื่องสำาอางด้วย เพราะหวังว่าการ
ทำาเช่นนี้จะนำามาซึ่งความสวยงามและผิวงามแก่สมาชิกใน
ครอบครัวที่เป็นหญิงทั้งหมดไม่ว่าความเจริญทางด้าน
วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้
ไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อตามประเพณี และพิธีที่สืบทอด
กันมาชั่วลูกชั่วหลานของชาวจีนแต่ประการใด
ธนพล จาดใจดี
(หนังสือเรื่องราวต่างๆของประเทศไทย)
เทศกาลไหว้พระจันทร์ (2)
เทศกาลไหว้พระจันทร์ของคนจีน ถ้าคิดตามวันจีน
- 8. จะเป็นเดือน 8 วันที่ 15 เป็นการไหว้ครั้งที่ 6 ของปี เรียก
การไหว้ครั้งนี้ว่า ตงชิวโจ่ย
การไหว้พระจันทร์ของคนจีน เป็นที่รู้จักกันดีกว่าเทศกาล
ไหว้อื่น ๆ เพราะมีเรื่องราวน่าสนใจ เป็นการไหว้เจ้าแม่กวน
อิม และมีของไหว้ที่เป็นแบบเฉพาะ เช่น มีขนมไหว้
พระจันทร์ มีต้นอ้อย โคมไฟ ........
กำาเนิดของการไหว้พระจันทร์มีหลายตำานาน แต่ก็มผู้ใหญ่ ี
หลายท่านบอกเล่ากับลูกหลานถึงที่มาของประเพณีการ
ไหว้พระจันทร์ว่า เป็นเรื่องจริงที่มีบันทึกอยู่ใน
ประวัติศาสตร์ชาติจีน ที่คนสร้างเทศกาลนี้ขึ้นมา เป็นอุบาย
ในการปฏิวัติและปลดแอกชาติจีนออกจากการปกครอง
ของพวกมองโกล
ว่ากันว่า ในสมัยหนึงเป็นยุคที่มองโกลเรืองอำานาจและยึด
่
ครองจีนได้ ในการปกครองคนจีน พวกมอง
โกลได้ออกกฎว่าคนจีน 3 ครอบครัวต้องเลี้ยงดูคน
มองโกลอย่างดี 1 คน มีการริบอาวุธของคนจีน อนุญาตให้
มีได้เพียงมีดหั่นผัก 1 เล่ม แต่ใช้ร่วมกัน 3 ครอบครัว
ความคิดที่จะกู้ชาติของชาวจีนที่รักความเป็นอิสระ ได้ออก
มาในรูปของการแอบตั้งขบวนการใต้ดิน มีผู้คดให้จดงานิ ั
ไหว้ พระจันทร์ขึ้นมา มีการทำาขนมไหว้พระจันทร์ที่จงใจ
ออกแบบให้เป็นขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ไส้หนาเป็นพิเศษ เพื่อ
ใช้เป็นที่ซ่อนเอกสารในการติดต่อ แล้วให้มีธรรมเนียมแลก
ขนมเปี๊ยะกันระหว่างญาติมิตร เป็นการตบตาพวกมองโกล
ได้อย่างแนบเนียน
ภายในสาร ระบุเวลากำาจัดคนมองโกล ว่าเที่ยงคืนของวัน
เพ็ญเดือน 8 ซึงเป็นคืนที่กำาหนดให้มีงานไหว้พระจันทร์
่
ในคืนนั้น ทุกบ้านพร้อมใจกันจัดงานไหว้พระจันทร์ ประดับ
โต๊ะไหว้ให้สวยงาม เพราะเป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม
อาหารที่ไหว้ ใช้อาหารเจ มีผลไม้ และขนมไหว้พระจันทร์
พอเที่ยงคืนก็มีการตีเกราะเคาะไม้ส่งสัญญาณแก่กันว่าได้
เวลาแล้ว ทุกครอบครัวก็พร้อมใจกันรุมฆ่าคนมองโกลด้วย
มีดหั่นผักที่มีอยู่เล่มเดียวนั่นเอง เมื่อได้เอกราชคืนมา ชาว
- 9. จีนจึงยึดถือเอาวันเพ็ญเดือน 8 เป็นวันไหว้พระจันทร์สืบต่อ
มา เพื่อรำาลึกถึงการกู้ชาติจากพวกมองโกล
เทศกาลไหว้พระจันทร์ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง
แต่ก็ยังเป็นที่นิยมไหว้กันอยู่ พอตกเย็นของคืนวันเพ็ญ
เดือน 8 ชาวจีนในไทยจะเริ่มตังโต๊ะไหว้ที่กลางแจ้ง เอา
้
ต้นอ้อย 2 ต้น มาทำาซุ้มประตู บนโต๊ะมีตั้งอาหารเจ
ขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ ของใช้สำาหรับผู้หญิง เช่น แป้งผัด
หน้า สบู่ แชมพู ผ้าเช็ดหน้า เพราะเป็นการไหว้เจ้าแม่กวน
อิม จึงไหว้ของผูหญิง และใช้ของไหว้ที่สวยงาม
้
กระทั่งธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทอง ก็จะตกแต่ง
ให้สวยเป็นพิเศษกว่าการไหว้เจ้าในเทศกาลอื่น มีการจัด
แจกันดอกไม้สดมาไหว้ บางบ้านมีไหว้ชุดเจ้าแม่กวนอิม
แล้วเผาไปให้ด้วย หลายบ้านจะบรรจงจัดโต๊ะไหว้อย่าง
สวยงาม มีการแข่งขันกันอยู่ในทีเหมือนกัน พอคำ่าหน่อยก็
มีการเดิมชมโต๊ะไหว้ของกันและกัน โดยเฉพาะบ้านไหนที่
จัดโต๊ะไหว้ใหญ่โตสวยงามมาก มีของไหว้มากมาย พร้อม
กับกลุ่มคนไหว้ที่ดูแล้วน่าจะเกินกว่า 1 ครอบครัว เดาได้
เลยว่า โต๊ะไหว้บ้านนี้เป็นโต๊ะแชร์ไหว้พระจันทร์
วันสารทไหว้พระจันทร์
ดังที่เคยกล่าวมาหลายครั้งว่า ประเทศจีนเป็น
ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีประชากรนับหลาย
- 10. ร้อยล้าน มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายต่อหลายพันปี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเพณีหนึ่ง ๆ จะมีที่มาหลากหลาย
ตำานาน ที่จะกล่าวถึงตำานานไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ จึง
ไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่เคยเขียนไว้ก่อน
วันไหว้พระจันทร์ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลาง
เดือน คือ วันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะเป็นวันที่ 1 ของเดือน วัน
สารทไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และ
ถือเป็นวันกลางเดือนของเดือนกลางฤดูใบไม้ร่วง ด้วยว่า
ประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลาเป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึงมี 3่
เดือน เริ่มจาก ชุง แห่ ชิว ตัง
ชุง คือ ฤดูใบไม้ผลิ ตรงกับเดือนที่ 1 ,2,3 ของปี
แห่ คือ ฤดูฝน 4,5,6
ชิว คือ ฤดูใบไม้ร่วง 7,8,9
ตัง คือ ฤดูหนาว 10,11,12
จะเห็นได้ว่า วันไหว้พระจันทร์เป็นวันสารทกลางเดือนของ
เดือนกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดี แถมยังเป็นวันที่พระจันทร์เต็ม
ดวงอีกต่างหาก จึงมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัย
โบราณ จักรพรรดิจีนจะทำาพิธีเซ่นไหว้พระอาทิตย์ในฤดู
ใบไม้ผลิ และจะไหว้บวงสรวงพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง ใน
คืนที่พระจันทร์เต็มดวงช่วงกลางฤดู ... ต่อมา
ประชาราษฎร์ก็ถือเป็นธรรมเนียมไหว้ตาม
การไหว้มีการจัดทำาขนมไหว้เป็นพิเศษ เป็นขนมเปี๊ยะก้อน
ใหญ่ไส้หนา มีขนมโก๋สีขาว ขนมโก๋สอดไส้ ขนมโก๋สี
เหลือง เมื่อไหว้เสร็จก็แบ่งกันรับประทานในครอบครัว ต่อ
มาจึงมีการกลายธรรมเนียมไปตามกาลเวลา ทีถือเป็นงาน
่
ไหว้ของผู้หญิงในบ้าน ทีเจาะจงไหว้เจ้าแม่กวนอิมด้วยอา
่
หารเจ โดยเป็นอาหารเจแห้ง เช่น วุ้นเส้นแห้ง เห็ดหูหนู
แห้ง เห็ดหอมแห้ง ฟองเต้าหูแห้ง ไหว้เครื่องประดับ
้
ของใช้ของหญิง
มีการจัดเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองแบบพิเศษบาง
บ้านที่ศรัทธามาก ถึงขนาดซื้อชุดฉลองพระองค์กระดาษ
เงินกระดาษทองของเจ้าแม่กวนอิม เผาให้ท่านเป็นพิเศษ
- 11. แต่ปัจจุบันนี้ ที่สมัยโบราณไม่เคยมีมาก่อน คือ สงคราม
การขายขนมไหว้พระจันทร์ ทีแทบทุกยี่ห้อต้องทำาส่งเสริม
่
การขาย ทังโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ลด แลก แจก แถม
้
และชิงโชค แบบว่าไหว้แล้วอาจโชคดีทันที เสมือนหนึ่งว่า
เจ้าท่านแน่จริง ๆ
จิตรา ก่อนันทเกียรติ
(หนังสือ ตึงหนั่งเกี้ย )
่
เทศกาลไหว้พระจันทร์ (3)
ข้อมูลจากสำานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติบอก
ว่า ประเพณีไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีที่สำาคัญและมีมาแต่
โบราณนับร้อยๆปี ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน ซึง ่
ถือว่าเป็นวันกลางเดือนของกลางฤดูใบไม้ร่วง เพราะจีนจะ
แบ่งวันเวลาออกเป็น 4 ฤดู คือ ชุง ฤดูใบไม้ผลิ ตรงกับ
เดือน 1 2 3 แห่ คือ ฤดูร้อน ตรงกันเดือน 4 5 6 ชิว คือฤดู
ใบไม้ร่วง ตรงกับเดือน 7 8 9 และ ตังคือ ฤดูหนาว ตรงกับ
เดือน 10 11 และ 12 ของจีน ซึงจักรพรรดิของจีนสมัย
่
โบราณจะเซ่นไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง
การไหว้พระจันทร์ เป็นการไหว้เพื่อรำาลึกถึงองค์ไท้อิมเนี้ย
เทพผู้ให้ความสุขสงบแก่สรรพสิ่งในโลก และถือว่าเป็น
เทพที่มีพระสิริโฉมงดงามที่สุดองค์หนึ่ง ซึงจะเสด็จ
่
มาโปรดสัตว์โลกในคืนพระจันทร์เต็มดวงของเดือน 8 ของ
สักการะจึงมักเป็นของเสี่ยงทาย เพื่อขอให้เกิดความเป็น
สิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
อีกตำานานหนึ่งกล่าวไว้ว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์
เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีนโดยตรง ตอนที่ "จูง่วนเจียง"
ผู้นำาชาวจีนสมัยนั้น ได้นัดแนะชาวจีนขึ้นต่อต้านกษัตริย์
ชาติมองโกลที่ยึดครองจีนอยู่ โดยให้แต่ละครอบครัวจัดทำา
อาวุธ และเอกสารนัดหมาย แอบซ่อนไว้ในหรือใต้ขนมโก๋
หรือขนมเปี๊ยะที่มีขนาดใหญ่
โดยแกล้งทำาเป็นธรรมเนียมแลกเปลี่ยนขนมระหว่างญาติ
เพื่อตบตาชาวมองโกล เพราะสมัยก่อนมีกฎหมายห้ามชาว
- 12. จีนตีเหล็กทำาอาวุธ และให้มีมีดใช้ 5 ครอบครัวต่อหนึ่งเล่ม
ซึ่งในหนังสือก็ได้นัดให้ทุกครอบครัวจัดงานไหว้พระจันทร์
ด้วยการประดับประดาตกแต่งโต๊ะไหว้ให้สวยงามโดยพร้อม
เพรียงกัน และถือเป็นวันดีเดย์ในการยึดอำานาจคืน เมื่อ
สำาเร็จ จูง่วนเจียง ได้ตงตนเป็นกษัตริย์ นามว่า "พระเจ้าไท้
ั้
โจวเกาอ่วงตี้"
ในสมัยก่อน ประเพณีวันไหว้พระจันทร์จะเป็นวันที่สาวๆ
หนุ่มๆชาวจีน จะได้มโอกาสออกมาพบปะกันด้วย ทำาให้
ี
หลายคู่ได้แต่งงานเพราะประเพณีนี้ ปัจจุบัน ประเพณีการ
ไหว้พระจันทร์ได้ลดน้อยถอยลงไปมาก นับตั้งแต่สหรัฐฯ
ได้ส่งนีล อาร์มสตรองไปเหยียบบนดวงจันทร์ เมื่อปี พ.ศ.
2512 และประเพณีดงกล่าวได้กลายมาเป็นการไหว้เจ้าแม่
ั
กวนอิมด้วยอาหารเจ พร้อมมีการจัดโต๊ะประดับประดา
ตกแต่งอย่างสวยงามแทน
สมัยพระจักรพรรดิถังหมิงหวงแห่งราชวงศ์ถัง เมื่อ 1,000
กว่าปีก่อน เล่ากันว่ามีนักบวชลัทธิเต๋าผู้หนึ่งนาม เย่ฝ่าส้าน
ได้ประกอบพิธีทางลัทธิเต๋าในคืนของวันขึ้น 15 คำ่าเดือน 8
ดลบันดาลให้พระจักรพรรดิถังหมิงหวงประพาสวิมานบน
โลกพระจันทร์ นับจากนั้นมา กิจกรรมการชมจันทร์เพ็ญบน
สถานที่สูง ล่องเรือชมจันทร์เพ็ญ ดืมสุราใต้แสงจันทร์และ
่
กิจกรรมอื่นๆ ก็ได้กลายเป็นประเพณีที่นิยมกันโดยทั่วไป
สิ่งที่ขาดมิได้ในวันไหว้พระจันทร์นั้นก็คือ ขนม ไหว้
พระจันทร์ ตำานานที่เกี่ยวกับขนมไหว้พระจันทร์นั้นมี
มากมาย มีอยู่เรื่องหนึงที่เล่าลือกันนั้นก็คือ ขนมไหว้
่
พระจันทร์ก็มีที่มาจากพระจักรพรรดิ ถังหมิงหวงเช่นกัน
โดยหลังจากที่พระจักรพรรดิถังหมิงหวง ประพาส วิมานบน
โลกพระจันทร์แล้ว ต่อมาพอถึงวันไหว้พระจันทร์ในแต่ละปี
พระองค์ ก็จะทรงชมพระจันทร์พร้อมกับพระสนมหยาง
กุ้ยเฟย โดยขณะทีทรงชมพระจันทร์นั้น ก็จะทรงทอด
่
พระเนตรเพลงระบำาไปพลาง และทรงชิมขนมหวานไป
พลาง ซึงขนมหวานนั้นมีรูปลักษณะกลมเหมือนจันทร์เพ็ญ
่
- 13. และมีไส้ต่าง ๆ นานา และนี่คงจะเป็นที่มาของขนมไหว้
พระจันทร์กระมัง
(ไม่ปรากฏที่มาข้อมูลอันชัดเจน)
เทวราชาดอทคอม
- 14. ตำานานที่แสนโรแมนติก
นางฟ้าฉางเอ๋อ เป็นเซียนหญิงที่อยู่บนดวงจันทร์
เธอเป็นเซียนที่หญิงสาวกราบไหว้ขอพรในวันไหว้
พระจันทร์ เพราะความสวยอันเป็นที่เลื่องลืมของนาง การ
ไหว้พระจันทร์ของหญิงสาวจึงเน้นไปที่ขอให้ตนเองสวย
และงดงามเหมือนอย่างนางฟ้าฉางเอ๋อนั่นเอง
มีเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของนางหลายแบบเรื่องที่
นิยมมากที่สุดคือ นางที่เป็นภรรยาของโฮ่วอี้ เทพบน
สวรรค์เมื่อยุคโบราณกาล โฮ่วอี้เป็นนักยิงธนูที่แม่นมาก
ครั้งหนึ่ง โอรสทั้ง ١٠ ของเง็กเซียนฮ่องเต้ที่เป็นอีกา
เพลิง(มีหน้าที่ควบคุมดวงอาทิตย์) ซึ่งมีหน้าที่ผลัดกันออก
มาส่องแสงที่เป็นดั่งดวงอาทิตย์มาให้ความอบอุ่นแก่โลก
มนุษย์วันละดวง เกิดนึกสนุกออกมาเล่นกันบนฟากฟ้า
พร้อมๆกันทั้ง ١٠ ดวง ยังผลให้โลกมนุษย์ร้อนดั่งไฟพาล
พืชพรรณพากันล้มตายในทันที เหล่ามนุษย์ก็ใกล้ที่จะสูญ
สลายไปจากโลก องค์เง็กเซียนทราบข่าว จึงให้โฮ่วอี้ลง
ไปปราบกำาราบลูกๆ ทัง ١٠ ของพระองค์ ครั้นไปถึงโลก
้
มนุษย์โดยมีฉางเอ๋อติดตามมาด้วยนั้น ได้เห็นความยาก
ลำาบากที่ประชาชนได้รับแล้วก็เกิดความโมโหเป็นยิ่งนัก
ห้ามโอรสทั้ง ١٠ ก็ไม่เชื่อฟังโฮ่วอี้จึงยิ่งธนูวิเศษของตนไป
สอยพระอาทิตย์ให้ร่วงลงมาทีละดวงๆ ฉางเอ๋อรีบเข้าไป
- 15. ห้ามสามีของตนเกรงเง็กเซียนฮ่องเต้จะพิโรธ แต่นั่นก็
ทำาให้ท้องฟ้าเหลือดพระอาทิตย์แค่เพียงดวงเดียวแล้ว
เหล่ามนุษย์ที่เหลือรอดชีวิต ต่างแซ่ซ่องสรรเสริญในบุญ
คุณของวีรบุรุษนามโฮ่วอี้ แต่สวรรค์นั้นหายินดีด้วยไม่ เพ
ราะเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องเสียบุตรของตนไปถึง ٩ องค์ โฮ่วอี้
จึงไม่ได้รับความดีความชอบอะไรจากสวรรค์และยังไม่
สามารถกลับไปสวรรค์ได้อีกด้วย แต่ด้วยความสามารถและ
วีรกรรมที่สร้างเอาไว้ในโลกมนุษย์ ทำาให้โฮ่วอี้ได้เป็น
กษัตริย์ปกครองโลกมนุษย์ ฉางเอ๋อยินดีติดตามสามีอยู่บน
โลกมนุษย์นั้นด้วย
เมื่อกาลเวลาเริ่มผ่านไป เจ้าแม่สวรรค์ได้เดินทางมา
เยี่ยมเยียนและฝากยาวิเศษแก่โฮ่วอี้ไว้ ١ เม็ด ยาวิเศษนี้
หากคนหนึ่งกินทังเม็ด คนนั้นจะกลายเป็นเซียน แต่หาก
้
แบ่งครึงแล้วกินไป คนที่กินนั้นจะมีอายุยืนยาวไม่แก่ไม่
่
เฒ่าไม่เจ็บไม่ตาย ทังยานี้ก็ไม่สามารถทำาลายได้ มาถึง
้
ตรงนี้ฉางเอ๋อที่เห็นสามีมีการเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนที่มี
จิตใจโหดร้ายขึ้น และหลงแก่อำานาจจนปวงประชาต่าง
อึดอัดใจก้มหน้าถูกกดขี่แล้ว ก็ตัดสินใจแย่งยาวิเศษนั้นมา
กินเสียเองทั้งเม็ด เพื่อปกป้องช่วยประชา ไม่ให้มีกษัตริย์ที่
โหดร้ายปกครองบ้านเมืองไปชั่วกาลนาน และนางเองก็
ต้องจากประชาชนที่นางรักและคนที่นางรักยิ่งไปชั่วกาลนิ
รันดร์เช่นกัน
นางได้เป็นเซียนดังเดิม แต่นางมิได้ลอยขึ้นสวรรค์
ไปยังที่ที่เซียนท่านอื่นๆ อยู่กัน แต่นางเหาะไปที่ตำาหนัก
จันทรา ซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ คอยเฝ้ามองบ้านเมืองที่นางรัก
ประชาชนที่นางรัก และสามีที่นางรักยิ่งอยู่บนนั้น ประชาชน
รำาลึกถึงการเสียสละของนางจึงจัดเครื่องเซ่นไหว้นางด้วย
ความรู้สึกขอบคุณ แล้วต่อมาเทศกาลนี้จึงได้เป็นที่รู้จักกัน
ในชื่อ “เทศกาลวันไหว้พระจันทร์” เล่ากันว่า ในคืนของ
เทศกาลนี้ นางจะสามารถกลับมายังโลกมนุษย์มาหาสามีที่
นางรักได้ตามด้วยการเซ่นไหว้ดวงจันทร์ โฮ่วอี้ที่สูญเสีย
นางอันเป็นที่รักไป แม้นทำาให้รู้สึกถึงความผิดและกลับตัว
- 16. ได้ ก็ได้เจอกันเพียงปีละครั้ง แต่ความรู้สึกที่โหยหากันของ
ทั้งสองต่างไม่มีวันสูญสิ้น กล่าวกันว่าเมื่อโฮ่วอี้ตาย เขาได้
กลายร่างเป็นกระต่ายหยกเดินทางสู่ตำาหนักจันทราบนดวง
จันทร์ ตำายาวิเศษเพื่อคืนให้แก่เจ้าแม่สววรค์ กระต่ายหยก
ก้มหน้าก้มตาตำายาวิเศษให้แก่เจ้าแม่โดยมีนางฟ้าฉางเอ๋อ
คอยร่ายรำาให้กำาลังใจอยู่เคียงข้างไปชั่วกาลนาน
เทศกาลทีคลาสสิค
่
ในประวัติศาสตร์เมื่อ ٢,٠٠٠ ปีทแล้ว ระบุว่า เทศกาลนี้
ี่
เกิดขึ้นมาได้ เพราะเป็นอุบายในการปฏิวัติและปลดแอก
ชาติจีนออกจากการปกครองของพวกมองโกล ว่ากันว่า ใน
ปลายสมัยราชวงค์ซ่ง ช่วงต้นของราชวงค์หยวน พวก
มองโกลเข้ามายึดครองแผ่นดินจีนได้ บังคับให้คนจีน ٣
ครอบครัวต้องเลี้ยงดูคนมองโกลอย่างดี ١ คน และมีการ
ริบอาวุธของคนจีน อนุญาตให้มีได้เพียงมีดหั่นผัก ١ เล่ม
แต่ใช้ร่วมกัน ٣ ครอบครัว ชาวจีนผู้รักเสรีภาพทนความ
กดขี่ไม่ไหว จึงเกิดความคิดที่จะกู้ชาติ โดยมีการแอบตั้ง
ขบวนการใต้ดิน และมีการนัดแนะกัน ลุกฮือขึ้นมาฆ่าพวก
มองโกล โดยมีผู้คดให้จดงานไหว้พระจันทร์ขึ้นมา มีการ
ิ ั
ทำาขนมไหว้พระจันทร์ที่จงใจออกแบบให้เป็นขนมเปี๊ยะ
ก้อนใหญ่ไส้หนาเป็นพิเศษ เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนเอกสารใน
การติดต่อแล้วให้มีธรรมเนียมแลกขนมเปี๊ยะกันระหว่าง
ญาติมิตร เป็นการตบตาพวกมองโกลได้อย่างแนบเนียน
ภายในสาร ระบุเวลากำาจัดคนมองโกลว่า เที่ยงคืนของวัน
เพ็ญเดือน ٨ ซึงเป็นคืนที่กำาหนดให้มีงานไหว้พระจันทร์
่
ในคืนนั้น ทุกบ้านพร้อมใจกันจัดงานไหว้พระจันทร์ พอถึง
เที่ยงคืนก็มีการตีเกราะเคาะไม้ส่งสัญญาณแก่กันว่าได้เวลา
แล้ว ทุกครอบครัวก็พร้อมใจกันรุมฆ่าคนมองโกลด้วยมีด
- 17. หั่นผักที่มีอยู่เล่มเดียวนั่นเอง เมื่อได้เอกราชคืนมา ชาวจีน
จึงยึดถือเอาวันเพ็ญเดือน ٨ เป็นวันไหว้พระจันทร์สืบต่อมา
เพื่อรำาลึกถึงการกู้ชาติจากพวกมองโกล แม้นจะเป็น
เทศกาลที่คลาสสิค กับ ตำานานที่แสนโรแมนติก แต่ปัจ
จบันคนรุ่นใหม่ก็มองข้ามเห็นเป็นเรื่องไรสาระ...เหลือไว้แต่
ชื่อขนมที่แสนอร่อย....โดยแทบไม่มีใครเข้าใจถึง
กุศโลบายของบรรพบุรุษ ว่าเทศกาลต่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ
ลูกหลานได้รับความรักความอบอุ่นสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
ของครอบครัวเมื่อยามที่ต้องกลับบ้านในแต่ละ
เทศกาล...คนปัจจุบันกลับต้องออกไปหาความรักจากที่
ต่างๆโดยไม่มีทางรู้ว่านั้นคือความหวังที่เลือนลาง....แต่
ความรักที่แท้จริงกลับมองข้ามและเห็นว่าไร้สาระ