More Related Content
Similar to คู่มือการดำเนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน (20)
More from Utai Sukviwatsirikul (20)
คู่มือการดำเนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน
- 3. ชื่อหนังสือ : คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน
รวบรวมโดย : นายแพทย์ศักดิ์ชัย ถิรวิทยาคม
นางดลินพร สนธิรักษ์
นางจันทนงค์ อินทร์สุข
จัดทำ�โดย : ศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2554
จำ�นวนที่พิมพ์ : 500 เล่ม
พิมพ์ที่ : บริษัท บียอนด์ พับลิสชิ่ง จำ�กัด
สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ห้ามลอกเลียนแบบส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- 4. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน ก
คำ�นำ�
คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน สำ�หรับอาสาสมัคร
โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจาก
พระราชดำ�ริ นำ�ร่องการพัฒนาระบบเครือข่ายรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
ในชุมชนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฉบับนี้ เป็นเนื้อหาวิชาที่เกิดขึ้นจาก
ประสบการณ์จริง จากการอบรมอาสาสมัครในโครงการฯ การถ่ายทอดองค์ความ
รู้และการรวบรวมเนื้อหาความรู้ที่วิทยากรได้ถ่ายทอดให้กับอาสาสมัครในการ
ฝึกอบรมการอบรมผู้ปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุ อาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่
โครงการวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารอันเนื่องมาจากพระราชดำ�ริจังหวัดชลบุรี
การจัดทำ�คู่มือเล่มนี้ ประสบความสำ�เร็จได้จากความร่วมมือของหลายๆ
ฝ่าย เริ่มต้นจากวิทยากรถ่ายทอดความรู้ของศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
เพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี และเครือข่าย
การดูแลผู้สูงอายุ สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลวัดญาณสังวรราม โรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพ องค์การบริหารส่วนตำ�บลห้วยใหญ่ชลบุรี จนได้เนื้อหาสมบูรณ์
ครบถ้วนเป็นประโยชน์ ในการนำ�คู่มือเล่มนี้ไปปฏิบัติและใช้ให้เป็นประโยชน์แก่
ผู้สูงอายุและคนในชุมชนต่อไป
ศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ
กรมการแพทย์ จังหวัดชลบุรี กระทรวงสาธารณสุข
- 5. ขอขอบคุณท่านวิทยากรศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ
กรมการแพทย์ จังหวัดชลบุรี
นายแพทย์ศักดิ์ชัย ถิรวิทยาคม นายแพทย์ชำ�นาญการพิเศษ
แพทย์หญิงรักษินา มีเสถียร แพทย์ปฏิบัติการ
นางดลินพร สนธิรักษ์ พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
นางจันทนงค์ อินทร์สุข พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
นางสาวกัลยาพร นันทชัย นักจิตวิทยาคลินิกชำ�นาญการ
นางอมรรัตน์ สัทธาธรรมรักษ์ พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
นายสุพิชชพงศ์ ธนาเกีรติภิญโญ นักกายภาพบำ�บัดชำ�นาญการ
นางสาวศศิภา จินาจิ้น นักกายภาพบำ�บัดชำ�นาญการ
นางสาววาสนา มากผาสุข พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
นางกัลยา ปรีดีคณิต พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
นางสุวลี บุญชักนำ� พยาบาลวิชาชีพชำ�นาญการ
คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้านข
- 8. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 1
อาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
อาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ควรมีลักษณะดังนี้
1. เป็นคนในชุมชน พร้อมเสียสละ
2. มีบุคลิกภาพที่เอื้ออาทร
3. มีคุณธรรม และมีจิตใจโอบอ้อมอารี
4. มีประสบการณ์ในการทำ�งานกับผู้สูงอายุ
5. สามารถปรับตัวได้ดี
6. มีทักษะความรู้ในการดูแลผูสูงอายุ
7. ป็นที่ปรึกษาและสามารถให้คำ�แนะนำ�แก่ผู้สูงอายุได้
8. มีความกระตือรือร้นและพร้อมที่จะเรียนรู้
9. ตรงต่อเวลา
10. มีการบริหารเวลาที่ดี มีเวลาว่าง
บทบาทอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุ
1. บทบาทของอาสาสมัครในที่นี้ จะต้องเป็นแกนนำ�ที่สามารถออกไป
เยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านได้สามารถให้คำ�แนะนำ�ให้ความรู้ทางด้านสุขภาพทั้งกายและ
ใจแก่ผู้สูงอายุ
2. เป็นผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุในทุกๆ ด้านตามความ
ต้องการของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคม
และเป็นกำ�ลังใจแก่ผู้สูงอายุ
3. เป็นแกนนำ�ในการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการ
สร้างเสริมสุขภาพและการฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุแนะนำ�วิธีการทำ�กายภาพบำ�บัด
ให้กับสมาชิกครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ
- 10. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 3
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม
และปัญหาทางสุขภาพที่พบบ่อย
แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
วัยผู้สูงอายุพัฒนาการของชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงที่ดำ�เนินไปสู่ความ
เสื่อมของร่างกาย และจิตใจ พบว่าโครงสร้างของร่างกายจะค่อยๆ ร่วงโรย เซลล์
ต่างๆ เริ่มหย่อนสมรรถภาพ การปรับตัวในวัยนี้จะแสดงออกในด้านความล่าช้าใน
กิจกรรมทุกด้านของชีวิต เช่น ความคิดอ่าน ความจำ� การรับรู้ทางประสาทสัมผัส
และการเคลื่อนไหว สมรรถภาพในการทำ�งานของร่างกายในด้านความต้านทาน
ต่อความเจ็บป่วยก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน
ความหมายของผู้สูงอายุและความชราภาพ
ผู้สูงอายุ หมายถึง ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป (องค์การสหประชาชาติ)
บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป (พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546)
ความหมายผู้สูงอายุภาคภาษาไทย จะใช้อายุเป็นหลักในการเรียก (60+ ปี)
คำ�ว่า คนชรา จะใช้ลักษณะทางกายภาพเป็นหลักในการเรียก ส่วนคำ�ว่า อาวุโส
จะใช้สถานภาพทางราชการ แก่กว่าเก่ากว่า เป็นหลักในการเรียก (ในทางศาสนา
ภิกษุผู้ใหญ่ เรียก ภิกษุผู้น้อยว่า อาวุโส ภิกษุผู้น้อยเรียกภิกษุผู้ใหญ่ว่า ภันเต)
องค์การอนามัยโลกได้แบ่งเกณฑ์อายุตามสภาพของการมีอายุเพิ่มขึ้น ดังนี้
ผู้สูงอายุ (Elderly) มีอายุระหว่าง 60 - 74 ปี คนชรา (Old) มีอายุระหว่าง
75 - 90 ปี คนชรามาก(Very Old) มีอายุ 90 ปีขึ้นไป
- 11. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน4
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลง
ของระบบต่างๆ ดังนี้
หัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจลดจำ�นวนลง มีเนื้อเยื่อพังผืดเพิ่มมากขึ้น
มีไขมันสะสมและหินปูนมาเกาะ ทำ�ให้การปิดเปิดของลิ้นหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ
ระบบภูมิคุ้มกันระบบการทำ�งานต่อสู้กับเชื้อโรคที่มีอยู่แล้วในร่างกายลดลง ระบบ
ประสาท นํ้าหนักของสมองลดลง เซลล์ประสาทลดจำ�นวนลง ทำ�ให้ขนาดของ
สมองเหี่ยวลง ช่องว่างระหว่างกลีบสมองถ่างกว้างออก ต่อมรับรสที่ลิ้นลด ทำ�ให้
ความสามารถในการรับรสด้อยประสิทธิภาพลง การมองเห็น มีการเปลี่ยนแปลง
ที่เปลือกตาบนจะตกลงเล็กน้อยเลนส์จะขุ่นขึ้นจากการสะสมโปรตีนที่เสื่อมสภาพ
การได้ยิน มีการเปลี่ยนแปลงของหูชั้นใน ทำ�ให้สูญเสียความสามารถในการได้ยิน
เสียงความถี่สูงไป การทรงตัว เส้นประสาทที่รับผิดชอบอยู่ใกล้เคียงกับส่วนที่
รับผิดชอบการได้ยิน ผู้สูงอายุมีอาการวิงเวียนศีรษะรู้สึกว่าบ้านหมุน โดยเฉพาะ
เวลาเปลี่ยนท่าทางและทิศทางของศีรษะรวดเร็ว สติปัญญา ผู้สูงอายุจะสูญเสีย
ความจำ�ระยะสั้น ขณะที่ความจำ�ระยะยาวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว
จะจำ�ได้ดีกว่า การนอน มีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าสมองขณะหลับ ทำ�ให้
ระยะเวลาที่อยู่ในระดับหลับสนิทสั้นลงทำ�ให้ตื่นกลางดึกได้บ่อยๆ ระบบประสาท
อัตโนมัติ จะลดประสิทธิภาพลง มีผลต่ออาการผิดปกติที่พบบ่อยในผู้สูงอายุเช่น
อาการหน้ามืดเมื่อลุกขึ้นยืนหรือนั่งเร็วๆ จากความดันโลหิตที่ลดลง ระบบการ
หายใจ กระดูกสันหลังที่เป็นแกนหลักของทรวงอกบางลง ระดับออกซิเจนใน
เลือดแดงจึงลดตํ่าลง ระบบทางเดินปัสสาวะ ไต นํ้าหนักไตจะลดลง สูญเสียส่วน
ที่ทำ�ให้หน้าที่กรองของเสีย ทำ�ให้การกำ�จัดยาออกจากร่างกายลดลง กระเพาะ
ปัสสาวะ จะมีความจุลดลง จำ�นวนปัสสาวะค้างเพิ่มมากขึ้นหลังการถ่ายปัสสาวะ
ทำ�ให้ต้องปัสสาวะบ่อยและอาจมีปัสสาวะราดได้บ่อย ต่อมลูกหมากจะหนาตัว
ขึ้นจนอุดตันท่อทางเดินปัสสาวะได้ ทำ�ให้ผู้สูงอายุชายปัสสาวะบ่อย และต้องเบ่ง
ปัสสาวะมากเป็นเวลานาน ทำ�ให้มีไส้เลื่อนหรือริดสีดวงทวารตามมา ระบบทาง
- 12. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 5
เดินอาหาร ช่องปากและฟัน เยื่อบุช่องปากบางลง นํ้าย่อยจากกระเพาะอาหาร
ลดลง นํ้าหนักของตับจะลดลง เซลล์ตับลดจำ�นวนลง ปริมาณเลือดที่ไหลเวียน
ผ่านตับจึงลดลง ผิวหนัง ความยืดหยุ่นลดลง ปริมาณไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังก็
ลดลง ทำ�ให้ผิวหนังเป็นรอยเหี่ยวย่น ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันในผิวหนังจะทำ�งาน
ลดลง ระบบโครงร่างกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ มีการฝ่อของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ
อ่อนกำ�ลังทำ�ให้สูญเสียความแข็งแรงว่องไว และการทรงตัว ทำ�ให้เกิดอุบัติเหตุ
ระหว่างการเคลื่อนไหวได้ง่าย ระบบสืบพันธุ์ ระบบสืบพันธุ์เพศชาย การสร้าง
ฮอร์โมนเพศชายจะมีฮอร์โมนเทสโตสเตอร์โรนน้อยลงฮอร์โมนเอสเตอร์เจนมากขึ้น
จะมีเนื้อเยื่อคลอลาเจนมาแทนที่ทำ�ให้ต่อมลูกหมากขยยาโตขึ้น ความสามารถ
ในการแข็งตัวขององคชาติลดลง ทำ�ให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศลดลง
ระบบสืบพันธ์เพศหญิง อวัยวะสืบพันธ์ภายนอกเหี่ยวย่น ช่องคลอดบางลงและ
ความยืดหยุ่นลดลง นํ้าหลั่งต่างๆ จากช่องคลอดลดลง
- 13. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน6
จิตวิทยาการสื่อสารในผู้สูงอายุ
ความหมาย: กระบวนการส่งข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ความนึกคิด
หรืออารมณ์ จากคนหนึ่ง คนหนึ่ง ถ้าไม่เกิดความเข้าใจร่วมกันถือได้ว่าไม่มี
การสื่อสาร
วิธีสื่อสารกับผู้สูงอายุ
เคารพ สุภาพ และเข้าใจ
ฟังในสิ่งที่ผู้สูงอายุพูดและสะท้อนกลับในสิ่งที่ได้ยิน
หลีกเลี่ยงการสรุปเอาเอง
ลดอคติต่อการสูงอายุ
นั่งตรงข้ามกับผู้ป่วยในระดับสายตา
ประเมินการได้ยินของผู้สูงอายุ
อย่าลืมฟันปลอมและแว่นสายตา
พูดให้ชัดเจนและระดับเสียงพอสมควร
ช่องทางการสื่อสาร
สื่อสารด้วยพูด
สื่อสารแบบไม่ใช้คำ�พูด
สื่อสารด้วยสื่อต่างๆ เช่น ข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร
วิธีการสื่อสาร/สร้างกำ�ลังใจสำ�หรับผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า
ผู้ดูแลต้องใจเย็น
เข้าใจว่าอาการที่ผู้สูงอายุเป็นคืออาการป่วย
สื่อสารด้วยคำ�พูดที่อ่อนโยนและใช้นํ้าเสียงที่นุ่มนวล
พยายามพูดคุยและชักชวนผู้สูงอายุให้มีกิจกรรมทางสังคม
ระมัดระวังสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการทำ�ร้ายตนเอง
- 14. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 7
วิธีการสื่อสาร/สร้างกำ�ลังใจ กับผู้สูงอายุสมองเสื่อม
ผู้ดูแลต้องใจเย็น
เข้าใจว่าอาการที่ผู้สูงอายุเป็นคืออาการป่วย
สื่อสารด้วยคำ�พูดที่อ่อนโยนและใช้นํ้าเสียงที่นุ่มนวล
พยายามจัดกิจกรรมที่ผู้สูงอายุเคยได้
ระมัดระวังสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อผู้สูงอายุ
ใช้คำ�พูดที่สั้น ง่าย ไม่ซํ้าซ้อน
ผู้ดูแลต้องดูแลตนเอง
ผลัดเปลี่ยนกันดูแลผู้สูงอายุ(อย่าให้เป็นภาระคนใดคนหนึ่ง)
วิธีการสื่อสารสำ�หรับผู้สูงอายุสำ�หรับคนในครอบครัว
บอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมาด้วยอารมณ์แจ่มใสสุขุมเยือกเย็น
ไม่จู้จี้ขี้บ่นหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเกินไป
เปิดโอกาสให้ลูกหลานแก้ปัญหาด้วยตนเอง ?
เรียกร้องความช่วยเหลือด้านต่างๆ มากเกินไป ?
ทวงบุญคุณ ?
เปรียบเทียบกับลูกครอบครัวอื่น ? ควบคุมบังคับ ?
คาดหวังมากเกินไป
เมื่อทำ�ผิดผู้สูงอายุสามารถขอโทษลูกหลานหรือบุคคลในครอบครัวได้
รับฟังให้คำ�ปรึกษาและถ่ายทอดประสบการณ์
วิธีสื่อสารผู้สูงอายุ ของผู้สูงอายุด้วยกันเอง
กลุ่มต่างวัยและกลุ่มผู้สูงอายุด้วยกัน
ก็มีทั้งการติดต่อสื่อสารทางเดียว คือ การติดตามข่าวสารข้อมูล
เพื่อจะได้รู้สึกว่าทันสมัย และการติดต่อสื่อสารทั้งสองทาง คือได้มีโอกาสพบปะ
พูดคุยในโอกาสต่างๆ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุทำ�กิจกรรม
- 15. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน8
การประเมินสัญญาณชีพผู้สูงอายุ
การวัดสัญญาณชีพ การวัดอุณหภูมิของร่างกาย วัดทางรักแร้ ทางปาก
ผู้สูงอายุ 96.8 องศาฟาเรนไฮท์ 37.0 องศาเซลเซียส
อุปกรณ์ ปรอทวัดไข้ ปลอกกันเปื้อน (disposable)
วิธีการปฏิบัติ ในที่นี้ขอกล่าวถึงวิธีการวัดอุณหภูมิของผู้ใหญ่
1. เตรียมอุปกรณ์และตรวจความพร้อมของอุปกรณ์
2. ตรวจสอบชื่อผู้ป่วย
3. นำ�ปลอกหุ้มหุ้มปรอทให้จนถึงโคนปรอท
4. เมื่อพร้อมที่จะวัด ให้ดึงปลอกแข็งด้านนอกออก
5. นำ�ปรอทแนบไปที่รักแร้ ให้ผู้ป่วยหนีบปรอทไว้จนกว่าจะได้ยิน
สัญญาณของปรอทเตือนว่าเสร็จสิ้น
6. บวกค่าของอุณหภูมิที่อ่านค่าได้ด้วยจำ�นวน 0.5 องศาเซลเซียส
7. ปิดเครื่อง และลอกปลอกหุ้มทิ้งไป
การแปลผล
ในผู้สูงอายุการที่มีไข้นั้นค่าอุณหภูมิที่ได้อาจตํ่ากว่า37.5องศาเซลเซียสให้
ดูอาการควบคู่ไปด้วยเช่นปวดศีรษะมีพยาธิสภาพอื่นๆร่วมด้วยไข้ตํ่าๆไม่ควรเกิน
37.5 องศาเซลเซียส/ไข้ปานกลาง 37.6-38.0 องศาเซลเซียส ไข้สูง > 38.0 ขึ้นไป
- 18. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 11
การวัดความดันโลหิตตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก(WHO)ถือว่า
ความดันโลหิต > 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นโรคความดันโลหิตสูง เมื่อตรวจ
ร่างกายแล้วว่าความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาทันทีหรือไม่ ถ้าตรวจพบความ
ดันโลหิตสูง แต่ถ้าไม่สูงมากอาจจะไม่จำ�เป็นต้องรับประทานยา แต่หากสูงมากก็
จำ�เป็นต้องรับประทานยา ตารางข้างล่างจะเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย
ความดันโลหิตที่วัดได้ (mm Hg)*
ความรุนแรงของความดันโลหิต Systolic Diastolic จะต้องทำ�อะไร
ความดันโลหิตที่ต้องการ น้อยกว่า 120 น้อยกว่า 80 ให้ตรวจซํ้าใน 2 ปี
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น
Prehypertension
130 - 139 85 - 89 ตรวจซํ้าภายใน 1 ปี
ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 Stage
1 (mild)
140 - 159 90 - 99 ให้ตรวจวัดความดัน
อีกใน 2 เดือน
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 Stage 2
(moderate)
>160 >100 ให้พบแพทย์ใน 1 เดือน
ตารางที่ 1 แสดงแนวทางในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
- 19. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน12
วิธีการวัดความดันโลหิต
ภาพที่ 1 แสดงภาพเครื่องวัดความดันโลหิต และหูฟัง (Stethoscope)
วิธีการวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง คือ วัดในขณะผู้ป่วยนอนหงายหรือนั่ง
เมื่อผู้ป่วยหายเหนื่อยหรืออารมณ์ไม่คงที่ ควรนั่งพักก่อน 15 นาที พันแถบผ้าให้
ขอบล่างอยู่เหนือข้อพับศอก 1 นิ้วฟุต และแขนอยู่ระดับหัวใจ ให้เริ่มวัดโดยการ
คลำ�ก่อน โดยเพิ่มระดับปรอทขึ้นไปเร็วๆ แล้วค่อยๆ ลดความดันลง เมื่อเริ่มคลำ�
ชีพจรได้ นั่นคือค่าความดันตัวบน (systolic pressure) โดยประมาณแล้วปล่อย
ลมออกเริ่มวัดใหม่เพิ่มความดันปรอทขึ้นสูงกว่าค่าที่คลำ�ได้ประมาณ30มิลลิเมตร
ปรอท ใช้หูฟัง ฟังบริเวณเส้นเลือดที่ข้อพับแขน แล้วค่อยๆ ลดความดันลงช้าๆ ใน
อัตรา 2 - 3 มิลลิเมตรปรอท/วินาที ค่าที่เริ่มได้ยินเสียงตุบคือค่าความดันตัวบน
(systolic pressure) และจุดที่ได้ยินเสียงสุดท้าย (หรืออาจใช้จุดที่ได้ยินเสียงเริ่ม
เปลี่ยน)คือค่าความดันตัวล่าง(diastolicpressure)ถ้าวัดได้ระดับความดันสูงกว่า
140/90 มิลลิเมตรปรอท ควรให้ผู้ป่วยนั่งพักประมาณ 15 นาทีแล้ววัดซํ้า
- 21. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน14
การประเมินความสามารถในการดำ�เนินชีวิตประจำ�วัน
1. การทดสอบสมรรถภาพทางกายผู้สูงอายุ
การออกกำ�ลังกายสมํ่าเสมอทำ�ให้สมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุมี
ความฟิตในหลายๆ ด้าน ได้แก่ ความฟิตของระบบหัวใจ ความฟิตของกล้ามเนื้อ
และความฟิตของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายผู้สูงอายุจะมีสมรรถภาพทางกายอยู่
ในระดับใดนั้น มีวิธีการทดสอบที่ทำ�ได้ง่ายๆ ผู้สูงอายุสามารถที่จะทำ�เองได้ ทั้งนี้
การทดสอบแต่ละครั้ง ผู้สูงอายุควรเก็บข้อมูลของตนเองไว้ เพื่อเปรียบเทียบกับ
การทดสอบครั้งต่อๆ ไป เมื่อกลับไปออกกำ�ลังกายเพิ่มขึ้นหรือทำ�อย่างสมํ่าเสมอ
มากขึ้น สมรรถภาพทางกายดีขึ้น ก็จะส่งผลให้ปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำ�วันได้
ดีขึ้น เช่น การเดิน การยืน การขึ้นลงบันได การยกของ การก้มเงย เป็นต้น
วิธีการทดสอบ การทดสอบมี 8 รายการดังต่อไปนี้ คือ
1. การลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ 30 วินาที จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความ
แข็งแรงกล้ามเนื้อส่วนขา ซึ่งจำ�เป็นสำ�หรับการทำ�กิจกรรมหลายอย่าง เช่น เดินขึ้น
บันได, เดิน และลุกออกจากเก้าอี้ ออกจากเรือหรือรถ รวมถึงลดความเสี่ยงจาก
การหกล้ม การประเมิน : จำ�นวนครั้งของการลุกขึ้นยืนตรงจากเก้าอี้ ภายใน 30
วินาที โดยมือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่หน้าอก เกณฑ์เสี่ยง : ลุกขึ้นยืนตรงโดย
ไม่มีคนช่วยได้น้อยกว่า 8 ครั้ง ในเพศหญิงและเพศชาย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
2. งอแขนพับศอก จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
ส่วนแขน ซึ่งจำ�เป็นสำ�หรับการทำ�งานบ้าน การเป็นแม่บ้าน และกิจกรรมอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการยก, แบก และถือหิ้ว การประเมิน : จำ�นวนครั้งของการยก
นํ้าหนัก โดยงอแขนพับศอกอย่างสมบูรณ์ ภายใน 30 วินาที สำ�หรับผู้หญิงให้
มือถือนํ้าหนัก 5 ปอนด์ หรือ 2.27 กิโลกรัม และผู้ชายถือนํ้าหนัก 8 ปอนด์ หรือ
3.63 กิโลกรัม เกณฑ์เสี่ยง : งอแขนพับข้อศอกได้น้อยกว่า 11 ครั้ง ในเพศหญิง
และเพศชายถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
- 22. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 15
3. เดิน6นาทีจุดประสงค์:เพื่อประเมินความอดทนหรือพลังแอโรบิก
ของร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนสำ�คัญมากต่อความสามารถในการเดินให้ได้ระยะทาง
การขึ้นบันได การจับจ่ายซื้อของ และการเดินชมทัศนียภาพเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
การประเมิน : จำ�นวนระยะทางเป็นหลาหรือเมตรที่เดินได้ภายใน6นาทีโดยเดิน
รอบระยะทาง 50 หลา หรือ 45.7 เมตร (5 หลา เท่ากับ 4.57 เมตร) เกณฑ์เสี่ยง :
เดินได้ระยะทางน้อยกว่า 350 หลา หรือ 319.9 เมตร ทั้งในเพศหญิง และเพศชาย
ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
4. เดินยํ่าเท้า 2 นาที จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความอดทน หรือ
พลังแอโรบิกของร่างกาย นอกเหนือจากการเดิน 6 นาที ที่จะใช้เมื่อมีพื้นที่จำ�กัด
หรือสภาพอาการไม่เอื้ออำ�นวย การประเมิน : จำ�นวนครั้งที่ยกเข่าขึ้นลงอย่าง
สมบูรณ์ใน 2 นาที โดยยกเข่าให้สูงถึงจุดกึ่งกลางระหว่างลูกสะบ้า กับขอบบน
สุดของกระดูกสะโพก จำ�นวนครั้งนับจากเข่าขวาที่ยกสูงขึ้นถึงจุดที่กำ�หนดยกขึ้น
เกณฑ์เสี่ยง : ยํ่าเท้ายกเข่าได้จำ�นวนน้อยกว่า 65 ครั้ง ทั้งในเพศหญิงและเพศ
ชาย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
5. นั่งเก้าอี้ยื่นแขนแตะปลายเท้า จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความ
อ่อนตัวของร่างกายส่วนล่าง ซึ่งสำ�คัญมากต่อการมีท่วงท่าที่ดี แบบแผนการเดิน
ที่ปกติและการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น การลุกเข้าออกจากห้องนํ้า จากเรือหรือรถ
การประเมิน : นั่งเก้าอี้ค่อนไปด้านหน้า ขาเหยียด ค่อยๆ ก้มเหยียดมือไปแตะ
ปลายเท้า แล้ววัดระยะห่างจากปลายนิ้วมือถึงปลายนิ้วเท้า ถ้าระยะห่างจาก
ปลายนิ้วมือไม่ถึงนิ้วเท้า ค่าที่ได้จะเป็นลบ ถ้าปลายนิ้วมือยืนเลยปลายนิ้วเท้าค่าที่
ได้จะเป็นบวก เกณฑ์เสี่ยง : สำ�หรับเพศชายระยะห่างระหว่างปลายนิ้วมือถึง
ปลายนิ้วเท้าเท่ากับหรือมากกว่า 4 นิ้ว (- 4 นิ้ว ขึ้นไป) และในเพศหญิงระยะห่าง
ระหว่างปลายนิ้วมือ ถึงปลายนิ้วเท้าเท่ากับหรือมากกว่า 2 นิ้ว (- 2 นิ้ว ขึ้นไป)
ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
- 23. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน16
6. เอื้อมแขนแตะมือทางด้านหลัง จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความ
อ่อนตัวของร่างกายส่วนบน โดยเฉพาะหัวไหล่ ซึ่งสำ�คัญมากต่อการทำ�กิจกรรม
เช่น การหวีผม,การสวมเสื้อทางศีรษะรวมทั้งการคาดเข็มขัดนิรภัยการประเมิน :
ยื่นแขนข้างหนึ่งเหนือศีรษะแล้วงอแขนข้ามบ่าไปด้านหลัง งอแขนอีกข้างหนึ่งขึ้น
จากด้านล่างไขว้ไปทางหลังแล้วเอื้อมขึ้นไปหาปลายมืออีกข้างหนึ่งที่กลางหลังเพื่อ
ให้ปลายมือทั้งสองข้างชนกันหรือเกยกัน วัดระยะห่างจากปลายมือทั้งสองข้าง
หากปลายมือทั้งสองข้างยังไม่ชนกัน ระยะห่างที่ได้จะเป็นค่าติดลบ หากปลาย
มือทั้งสองข้างชิดหรือเกยกัน ระยะเกยกันที่ได้จะมีค่าเป็นบวก เกณฑ์เสี่ยง :
สำ�หรับเพศชายระยะห่างระหว่างปลายนิ้วมือทั้งสองข้างเท่ากับหรือมากกว่า4นิ้ว
(- 4 นิ้ว ขึ้นไป) และในเพศหญิงระยะห่างระหว่างปลายนิ้วมือทั้งสองข้างเท่ากับ
หรือมากกว่า 2 นิ้ว (- 2 นิ้ว ขึ้นไป) ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
เอื้อมแขนแตะมือทางด้านหลัง (Back Sctatch)
- 24. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 17
7. ลุกเดินจากเก้าอี้ไปและกลับ 16 ฟุต จุดประสงค์ : เพื่อประเมิน
ความคล่องแคล่ว และการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวซึ่งสำ�คัญต่อการทำ�กิจกรรมที่
ต้องการความรวดเร็ว เช่น การรีบลงจากรถโดยสาร การรีบเข้าไปในครัว การรีบ
ไปห้องนํ้า รวมถึงการรีบไปรับโทรศัพท์ การประเมิน : วัดระยะเวลาที่ใช้ในการ
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินต่ออีก 8 ฟุต หรือ 2.44 เมตร แล้วเลี้ยวกลับมานั่งเก้าอี้
ตามเดิม รวมระยะทาง 16 ฟุต เกณฑ์เสี่ยง : ทั้งเพศชายและเพศหญิงหากใช้ระยะ
เวลาเดินมากกว่า 9 วินาที ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
8. ส่วนสูง นํ้าหนัก และรอบเอว จุดประสงค์ : เพื่อประเมินความอ้วน
ความเสี่ยง หรือโอกาสต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วน
ซึ่งสำ�คัญต่อสุขภาพ การประเมิน : วัดส่วนสูง (เซนติเมตร) และชั่งนํ้าหนัก
(กิโลกรัม) (โดยถอดรองเท้า) พร้อมทั้งวัดรอบเอวบริเวณส่วนที่คอดที่สุดระหว่าง
สะดือกับลิ้นปี่ วัดตอนช่วงหายใจออก โดยให้สายวัดแนบลำ�ตัวพอดีอย่าดึงสายวัด
จนแน่น นำ�ตัวเลขที่ได้จากการวัดส่วนสูง ทำ�ให้เป็นเมตร จากนั้นนำ�ไปหาร
นํ้าหนักที่ชั่งได้ 2 ครั้ง ดังสูตร
ดัชนีมวลกาย = นํ้าหนัก (กิโลกรัม)
ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร)
เกณฑ์เสี่ยง : ทั้งเพศชายและเพศหญิง ถ้ามีค่าดัชนีมวลกายเท่ากับหรือ
มากกว่า25กิโลกรัมต่อตารางเมตรถือว่ามีนํ้าหนักเกินและความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแล้ว
และหากมีรอบเอวมากกว่า 102 ซ.ม. (40 นิ้ว) สำ�หรับเพศชาย และมากกว่า 88
ซ.ม. (35 นิ้ว) สำ�หรับเพศหญิงถือว่ามีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตามสำ�หรับคนเอเชีย
แล้วค่าดัชนีมวลกายเท่ากับหรือมากกว่า 23 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถือว่านํ้าหนัก
เกินและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแล้วดังนั้นจึงไม่ควรอยู่ในความประมาท จงหมั่นออก
กำ�ลังกายและบริโภคอาหารให้เหมาะสมอย่างสมํ่าเสมอ
- 25. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน18
การดูแลอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การทำ�ความสะอาดควรทำ�อย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง และหลังจากถ่าย
อุจจาระ และปัสสาวะทุกครั้ง ผู้ป่วยที่สามารถทำ�ความสะอาดด้วยตนเองได้ ผู้
ดูแลควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำ�เองแต่ถ้าหากผู้ป่วยทำ�เองไม่ได้ผู้ดูแลต้องเป็นผู้ทำ�ให้
ผู้สูงอายุในการดูแลความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เพื่อป้องกันการ
ติดเชื้อ
เครื่องใช้การดูแลอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
1. ตะกร้าสี่เหลี่ยม 1 ใบ สำ�หรับใส่เครื่องใช้
2. เหยือกนํ้าขนาด 500 ซีซี บรรจุนํ้าสะอาด พร้อมขันนํ้า และนํ้าสบู่
หรือนํ้ายา
3 อับใส่สำ�ลีแห้ง
4. ถุงมือ 1 คู่ หรือปากคีบ 1 อัน
5. ภาชนะใส่กระดาษชำ�ระ เช่น กระโถน หรือถุงกระดาษ
6. ผ้าคลุม ผ้ายางรองก้น
7. หม้อนอนชนิดแบน
วิธีการดูแลอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
1. นำ�ของใช้ไปที่โต๊ะข้างเตียง บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าจะทำ�ความสะอาด
อวัยวะสืบพันธุ์ให้
2. ปิดประตู หรือกั้นม่าน และปิดตา เพื่อป้องกันการเปิดเผยผู้ป่วย
3. ปูผ้ายางรองบริเวณสะโพก
4. จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงายชันเข่า ให้ปลายเท้าและขาแยกออก
จากกัน การแยกขา
- 26. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 19
5. ห่มผ้าที่ตัวผู้ป่วย ผู้หญิงดึงผ้าถุงขึ้นไปที่เอว ผู้ชายดึงกางเกงลงล่าง
คลุมผ้าที่บริเวณขาให้มิดชิด ปิดผ้าบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ไว้ก่อน เพื่อป้องกันการ
เปิดเผยส่วนของร่างกายให้ผู้ป่วยยกก้นขึ้น หรือช่วยผู้ป่วยยกก้นขึ้น แล้วสอดหม้อ
นอนที่ใต้ก้น และให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะให้เรียบร้อย
6. หยิบกระโถนหรือถุงกระดาษมาวางที่เตียงใกล้หม้อนอน เพื่อทิ้งสำ�ลี
ที่ใช้แล้วให้สะดวกคีบสำ�ลี 6 - 8 ก้อนจากอับสำ�ลีลงในขันนํ้าสบู่หรือนํ้ายา
การทำ�ความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ดังนี้
ก. เพศหญิง
1. เปิดผ้าที่คลุมระหว่างขาขึ้น
2. ใส่ถุงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้มือสัมผัสกับนํ้าคัดหลั่งซึ่งอาจมีเชื้อ
โรคปนเปื้อนอยู่
3. เทนํ้าราดไปที่ขาหนีบเล็กน้อยอย่างเบามือและให้อวัยวะสืบพันธุ์
ภายนอกเปียก
4. ใช้ปากคีบคีบสำ�ลีชุบนํ้าสบู่หรือนํ้ายาบิดพอหมาดเช็ดบริเวณดัง
ต่อไปนี้
5. สำ�ลีก้อนที่ 1 เช็ดบริเวณหัวเหน่าจากซ้ายไปขวาแล้วทิ้งสำ�ลีลง
ในถุงกระดาษสำ�ลีก้อนที่ 2, 3 เช็ดแคมใหญ่ด้านไกลตัวก่อน 1 ก้อน และใกล้ตัว
1 ก้อน โดยเช็ดจากด้านบนลงด้านล่าง
6. การเช็ดดังนี้ จะช่วยป้องกันมิให้เชื้อโรคจากทวารหนัก เข้าสู่
บริเวณปากช่องคลอด และรูเปิดของท่อปัสสาวะ
7. สำ�ลีก้อนที่ 4, 5 เช็ดแคมเล็กด้านไกลตัว และใกล้ตัวบริเวณละ
1 ก้อน จากด้านบนลงล่าง สำ�ลีก้อนที่ 6 เช็ดตรงกลางจนถึงทวารหนัก
8. สำ�ลีทุกก้อนเมื่อเช็ดเสร็จให้ทิ้งลงในถุงกระดาษ
- 27. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน20
ข. เพศชาย
1. เปิดมุมผ้าที่คลุมระหว่างขาขึ้น
2. ใส่ถุงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้มือไปสัมผัสกับนํ้าคัดหลั่ง เป็นการ
ป้องกันเชื้อโรคติดต่อมายังผู้ดูแล เทนํ้าราดลงไปที่ขาหนีบเล็กน้อยอย่างเบามือ
ต่อไปราดนํ้าให้ทั่วอวัยวะสืบพันธุ์
3. ใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดจับองคชาติตั้งขึ้นมือขวารูดหนังหุ้มปลาย
ให้เปิดออกหยิบสำ�ลีชุบนํ้าสบู่หรือนํ้ายาในขันบิดหมาดๆทำ�ความสะอาดรูเปิดท่อ
ปัสสาวะโดยเช็ดจากรูเปิดวนรอบองคชาติไปทางเดียวจนถึงโคนองคชาติ(เป็นการ
เช็ดจากบริเวณที่มีการเปื้อนน้อย ไปหาส่วนที่เปื้อนหรือสกปรกมาก เพื่อป้องกัน
เชื้อโรคเข้าสู่รูท่อปัสสาวะ) จากนั้นทิ้งสำ�ลีลงในถุงกระดาษทำ�ซํ้าจนสะอาด
4. ใช้สำ�ลีแห้งซับส่วนปลายให้แห้ง แล้วดึงหนังหุ้มปลายองคชาติ
กลับมาปิดเหมือนเดิม
5. คีบสำ�ลีบิดหมาดๆ เช็ดทำ�ความสะอาดบริเวณลูกอัณฑะแล้ว
เช็ดผิวหนังข้างใต้ลูกอัณฑะจนถึงทวารหนักให้สะอาด (ถ้าสกปรกมากเช่น เปื้อน
อุจจาระต้องใช้สำ�ลีชุบนํ้าเช็ดอุจจาระออกให้หมดก่อน แล้วจึงจะใช้สำ�ลีชุบนํ้าสบู่
ทำ�ความสะอาด)
6. ซับบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งด้วยกระดาษชำ�ระด้าน
บนลงล่าง เพื่อให้รู้สึกสบาย ไม่รำ�คาญจากความเปียกชื้น และลดการระคายเคือง
7. เลื่อนหม้อนอนออกให้ผู้ป่วยนอนตะแคงทำ�ความสะอาดบริเวณ
ทวารหนักและแก้มก้นทั้งสองข้างแล้วใช้กระดาษชำ�ระซับให้แห้ง
8. จัดท่าให้นอนหงายเอาผ้าปิดตาออก นุ่งกางเกงให้เรียบร้อยแล้ว
จัดให้นอนในท่าที่สบาย
9. นำ�ของเครื่องใช้ไปทำ�ความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
- 28. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 21
การเลือกใช้อุปกรณ์ในการดูแลการขับถ่าย
ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มักพบว่ามีปัญหาการควบคุมการขับถ่าย คือ
มีภาวะกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ ผ้าอ้อมกางเกง “DIAPER” โดยทั่วไปผ้าอ้อม
มี 2 ชนิด คือ ผ้าอ้อมชนิดใช้แล้วทิ้งหรือผ้าอ้อมสำ�เร็จ กับผ้าอ้อมชนิดทำ�ด้วยผ้า
การเลือกใช้ตามความสะดวก สภาพร่างกาย ราคา การใช้ในสถานที่ต่างๆ
1. ผ้าอ้อมชนิดใช้แล้วทิ้ง หรือผ้าอ้อมสำ�เร็จ
1.1 ด้านในทำ�ด้วยวัสดุใยสังเคราะห์มีสารเคมีเป็นตัวดูดซับความชื้น
ซึมซับนํ้าได้ดี ทำ�ให้รู้สึกแห้งสบาย แผ่นนอกมักทำ�ด้วยพลาสติกเพื่อกันปัสสาวะ
รั่วซึมออกมา
1.2 มีขนาดต่างๆ กัน เลือกใช้ตามขนาดตัวผู้ป่วย คือ ขนาดเล็ก
(Size S) ขนาดกลาง (Size M) ขนาดใหญ่ (Size L) ขนาดใหญ่พิเศษ (Size XL)
1.3 บางบริษัท/ยี่ห้อ มีการแบ่งตามความสามารถในการรองรับ
ปัสสาวะ เช่น ผ้าอ้อมแบบเทป หรือแผ่นซึมซับปัสสาวะเล็ด หรือแผ่นรองซับ
ลักษณะคล้ายผ้าอนามัย แต่เป็นคนละชนิดมีลักษณะใหญ่และหนากว่า (ไม่ควร
นำ�ผ้าอนามัยมาใช้รองรับปัสสาวะเล็ดเพราะจะทำ�ให้เกิดหมักหมมเชื้อแบคทีเรีย
มีกลิ่นคล้ายกลิ่นสาบ) สามารถรองรับปัสสาวะได้ปริมาณ 70 - 120 CC. มักใช้คู่
กับกางเกงในหรือรองในผ้าอ้อมกางเกง เมื่อเปื้อนสามารถดึงออกแล้วเปลี่ยนใหม่
เป็นการประหยัด เพราะมีราคาถูกกว่าผ้าอ้อมกางเกงสำ�เร็จ ผ้าอ้อมแบบกางเกง
สำ�เร็จสามารถรองรับปัสสาวะได้ประมาณ 450 CC. หรือ 600 CC. เป็นต้น
1.4 ข้อเสียของผ้าอ้อมชนิดใช้แล้วทิ้ง มักระบายอากาศไม่ค่อยดี
มักทำ�ให้เกิดผื่นแพ้ผ้าอ้อมได้ง่ายพบที่บริเวณซอกขาหนีบที่สัมผัสกับผ้าอ้อม
ลักษณะผื่นพบผื่นสีแดงจัดขอบเขตชัดเจนสาเหตุของผื่นผ้าอ้อมเกิดจากที่สัมผัส
แช่อยู่กับปัสสาวะ อุจจาระนานเกินไป
- 30. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 23
วิธีการใส่กางเกงซึมซับ
1. จัดให้ผู้สูงอายุนั่ง แล้วสวมกางเกง
ผ้าอ้อมเข้าที่ขา
2. โน้มให้ผู้สูงอายุยืนขึ้นพร้อมช่วย
ดึงผ้าอ้อมขึ้นที่ต้นขา
3. ให้ผู้สูงอายุได้ช่วยตัวเองโดยใช้มือ
ดึงผ้าอ้อมขึ้นทีละข้าง
เพื่อฝึกการขยับเขยื้อนร่างกาย
4. จัดกางเกงซึมซับให้กระชับกับโดย
ผู้ช่วยเหลือ
ผ้าอ้อมชนิดทำ�ด้วยผ้า
มักทำ�ด้วยเส้นใยธรรมชาติ ทำ�จากผ้าฝ้าย เหมาะสำ�หรับผิวแพ้ง่าย
สามารถระบายอากาศได้ดีกว่าผ้าอ้อม พลาสติก ใช้แล้วสามารถซักแล้วนำ�มาใช้
ได้อีก บางครั้งใช้ร่วมกับแผ่นรองซึมซับชนิดใช้แล้วทิ้ง
- 31. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน24
การดูแลในผู้สูงอายุเจ็บป่วยโรคเรื้อรัง
โรคเรื้อรังในผู้สูงอายุ
ความดันโลหิตสูง
ความดันเกิน 140/90 ขึ้นกับท่า ความเครียด การออกกำ�ลังกาย การ
นอนหลับ เป็นโรคประจำ�ตัว ไม่มีอาการ หากเกิน 180/110 ถือว่า อันตรายมาก
ให้รีบไปพบแพทย์ สัมพันธ์กับรับประทานอาหารเค็ม อ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก
และการขาดการออกกำ�ลังกาย ทำ�ให้เกิด อัมพาต/อัมพฤกษ์ ไตวาย หัวใจโต/
หัวใจล้มเหลว/กล้ามเนื้อหัวใจตาย ตามัว/ตาบอด
ระดับความรุนแรง
ระดับที่ 1 : 140 - 159/90 - 99 มม.ปรอท
ระดับที่ 2 : 160 - 179/100 - 109 มม.ปรอท
ระดับที่ 3 : มากกว่า 180/110 มม.ปรอท
ควรจะวัดขณะนอนพัก ควรวัดซํ้า 2 - 3 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นความ
ดันโลหิตสูงจริงๆ
อาการ:ปวดศีรษะเวียนศีรษะเหนื่อยง่ายนอนไม่หลับส่วนมากไม่มีอาการ
ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตจาก
หัวใจวายถึง 60 - 75 %
เส้นเลือดในสมองอุดตัดหรือแตก 20 - 30 %
ไตวายเรื้อรัง 5 - 10 %
- 32. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 25
ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีความดันโลหิตสูง
1. ออกกำ�ลังกายสมํ่าเสมอ 30 นาที/ 3 - 5 ครั้ง/สัปดาห์
2. ลดเค็มหยุดบุหรี่และสุราไม่เครียดลดนํ้าหนักทานยาและพบแพทย์
สมํ่าเสมอ
เบาหวาน ร่างกายผลิตฮอร์โมน “อินซูลิน” จากตับอ่อนไม่เพียงพอ
ทำ�ให้นํ้าตาลในเลือดสูงผิดปกติ
แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
เบาหวานชนิดที่ 1 - มีภูมิต้านทานของร่างกายทำ�ลายเซลล์ที่สร้าง
อินซูลินต้องฉีดอินซูลินไปตลอดชีวิต
เบาหวานชนิดที่ 2 - สัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ นํ้าหนักตัวมาก การขาด
การออกกำ�ลังกาย และวัยที่เพิ่มขึ้น ยังสร้างอินซูลินได้บ้าง
อาการ
ปัสสาวะมากและบ่อย นํ้าหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
หิวนํ้าบ่อย เหนื่อยง่าย ติดเชื้อบ่อย สายตาพร่า แผลหายช้า
โรคแทรกซ้อน ตามัว ไตวาย อัมพฤกษ์/อัมพาต หลอดเลือดหัวใจตีบ
แผลเรื้อรังจาก เบาหวาน
ข้อควรปฏิบัติสำ�หรับผู้ป่วยเบาหวาน
1. ควบคุมอาหารสมํ่าเสมอ ออกกำ�ลังกาย
2. ใช้ยาสมํ่าเสมอตามที่แพทย์แนะนำ�
3. ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และวิธีปฏิบัติตัว
4. พบแพทย์สมํ่าเสมอ เพื่อวัดผลการควบคุมนํ้าตาล ตรวจหา
โรคแทรกซ้อน ตรวจนํ้าตาลในเลือด
5. พกนํ้าตาล ลูกกวาดติดตัวเสมอใช้ทันที เมื่อมีอาการน่าสงสัยว่า
นํ้าตาลตํ่า หมั่นตรวจเท้าทุกวัน
- 33. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน26
ไขมันในเลือดสูง สาเหตุ : กรรมพันธุ์ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
อายุที่มากขึ้น การขาดการออกกำ�ลังกาย การสูบบุหรี่ และ การดื่มสุรา แบ่งเป็น
คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
การปฎิบัติตัว
ลดอาหารคอเลสเตอรอลสูง : ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง
หอยนางรม ปลาหมึก กุ้ง หนังเป็ด หนังไก่
ลดอาหารไตรกลีเซอร์ไรด์สูง : แป้ง นํ้าตาล เครื่องดื่มที่มีรสหวาน
ผลไม้รสหวานจัด
ใช้นํ้ามันพืช จากถั่วเหลือง มะกอก
ห้าม นํ้ามันปาล์ม/มะพร้าว/หมู
หยุดบุหรี่ ออกกำ�ลังกาย หยุดดื่มสุราทานผักมากๆ เพิ่มใยอาหาร
ไปช่วยลดการดูดซึมไขมัน
หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดสมองตีบ 80%/แตก 20% ทำ�ให้เกิด
อัมพฤกษ์ หรือ อัมพาต
ปัจจัยเสี่ยง
- ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้
1. ความดันโลหิตสูง
2. โรคเบาหวาน
3. โรคหัวใจ
4. ภาวะไขมันในเลือดสูง
5. ความอ้วน
6. การสูบบุหรี่
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ อายุ เชื้อชาติ
- 34. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 27
อาการ แขนขาชาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่งทันที พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือ
ฟังไม่เข้าใจทันทีทันใด เดินเซ เวียนศีรษะทันทีทันใด ตามองเห็นภาพซ้อน หรือ
มืดมัวข้างใดข้างหนึ่งทันทีทันใด
การป้องกัน ออกกำ�ลังกายสมํ่าเสมอ ควบคุมนํ้าหนักให้เหมาะสม
งดสูบบุหรี่ ตรวจสุขภาพประจำ�ปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงในกรณีมีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว ต้องรักษาและพบแพทย์
อย่างสมํ่าเสมอ ห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาดผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว
จะมีโอกาสเป็นซํ้าได้สูงกว่าคนปกติ
หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ/กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด/
กล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดจากภาวะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมีการตีบหรือตันซึ่งเป็น
ผลจากภาวะไขมันสะสม ที่ผนังด้านใน ของเส้นเลือด
อาการของโรค
เจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางร้าวไปไหล่ซ้ายและแขนซ้าย หรือ ขึ้นไป
ตามคอ กรามซ้าย อาการเป็นมากขึ้นเวลา ออกแรง นั่งพักจะดีขึ้น กระสับกระส่าย
เหงื่อออกตัวเย็นเสียชีวิตปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันเหมือนโรคหลอดเลือดสมอง
หากเกิดโรคแล้วต้องทานยาไปตลอดชีวิต
มีการออกกำ�ลังกายแบบแอโรบิกเพื่อฟื้นฟูหัวใจหลังเกิดอาการ
ไปพบแพทย์ตามนัด
สมองเสื่อม มีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อมๆ กัน แบบ
ค่อยเป็นค่อยไปแต่เกิดขึ้นอย่างถาวรอัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมประเภทหนึ่ง
ที่พบได้บ่อยที่สุด
- 35. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน28
รักษาไม่ได้
เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ : อัลไซเมอร์ สมองขาดเลือดไปเลี้ยง :
โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และการสูบบุหรี่
รักษาได้
เนื้องอกในสมอง โรคติดเชื้อในสมอง การขาดสารอาหารโดยเฉพาะ
วิตามินบี อุบัติเหตุที่ศีรษะ หรือการได้รับยาบางอย่าง เช่นการใช้ยากล่อมประสาท
เป็นประจำ�
อาการ
ความจำ�เสื่อม โดยเฉพาะความจำ�ระยะสั้น
ปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซํ้าๆ ซากๆ เรียกชื่อคน
หรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำ�บากในการหาคำ�พูดที่ถูกต้อง ทำ�ให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
ปัญหาในการลำ�ดับทิศทางและเวลา ทำ�ให้เกิดการหลงทาง หรือ
กลับบ้านตัวเองไม่ถูก
สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยากๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อย
ได้ มีการตัดสินใจผิดพลาด
วางของผิดที่ผิดทาง
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้
เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้า หรืออาจ
จะมีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็ก ในรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจไม่สามารถช่วย
เหลือตนเองได้ จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
- 36. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 29
แนวทางการป้องกันภาวะสมองเสื่อม
1. รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด
3. ระวังการใช้สารที่อาจเกิดอันตรายต่อสมอง เช่น เครื่องดื่มที่มี
แอลกอฮอล์ ยาโดยไม่จำ�เป็น
4. ระวังปัจจัยเสียงของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น สูบบุหรี่ หรืออยู่ในที่
ที่มีควันบุหรี่
5. การฝึกสมอง พยายามทำ�กิจกรรมที่ได้ใช้สมองอย่างสมํ่าเสมอ
6. ออกกำ�ลังกายให้สมํ่าเสมอ
7. ตรวจสุขภาพประจำ�ปี
8. ระมัดระวังอุบัติเหตุต่างๆ โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่ศีรษะ
9. หลีกเลี่ยงความเครียด ซึ่งสามารถทำ�ได้หลายวิธี เช่น การเดินทางไป
พักผ่อนการฝึกสมาธิ เป็นต้น
- 37. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน30
การป้องกันและการดูแลแผลกดทับในผู้สูงอายุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับแบ่งเป็น 2 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยภายใน ได้แก่ สภาพของผู้ป่วยเอง อายุที่สูงขึ้น ชั้นไขมันใต้
ผิวหนังบางลง โรคประจำ�ตัว สภาวะโภชนาการที่แย่ลง การจำ�กัดการเคลื่อนไหว
และการควบคุมการขับถ่ายที่ลดลง
2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ แรงกด แรงเลื่อนไถล แรงเสียดทาน และ
ความเปียกชื้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัย ที่เกิดขึ้นร่วมกันปัจจัยภาย ในทำ�ให้เกิด
แผลกดทับขึ้น
การป้องกัน จากสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมา ทำ�ให้เราสามารถหา
แนวทางการป้องกันแผลกดทับ ได้ดังนี้ การลดแรงกด เป็นปัจจัยสำ�คัญปัจจัยหนึ่ง
ในการลดการเกิดแผลกดทับ คือ การจัดท่าผู้ป่วย การเลือกใช้อุปกรณ์ลดแรงกด
การจัดท่าผู้ป่วยการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยเป็นหลักเบื้องต้นในการป้องกันแผลกดทับ
1. พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง และควรมีการบันทึกไว้
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ต่อการเกิดแผลกดทับสูงสามารถพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยได้บ่อย
กว่าทุก 2 ชั่วโมง หากพบว่าที่ผิวหนังมีรอยแดงเกิดขึ้นนอกจากนี้การพลิกตะแคง
ตัวยังขึ้นกับชนิด ของที่นอนด้วย
2. ในการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย ควรตะแคงตัวให้สะโพกเอียงทำ�มุม
30 องศากับที่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดโดยตรงกัน ในการจัดท่านอนหงายควร
มีหมอนสอดคั่นระหว่างหัวเข่า และระหว่างตาตุ่ม 2 ข้างเพื่อป้องกันการกดทับ
เฉพาะที่
3. ป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณส้นเท้าโดยการใช้หมอนรองบริเวณ
น่อง หรือขาส่วนล่างให้ส้นเท้าลอยพ้นพื้นที่นอนไม่ให้ถูกกด
- 38. คู่มือการดำ�เนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่บ้าน 31
4. ในการจัดท่านอนศีรษะสูง ไม่ควรสูงเกิน 30 องศา เพื่อป้องกันการ
เกิดการเลื่อนไถล และการกดทับ แต่ถ้าจำ�เป็นต้องนอนศีรษะสูง เพื่อให้อาหาร
ทางสายยาง ควรลดระดับลงเหลือ 30 องศา ภายหลังจากให้อาหารแล้วประมาณ
30 นาที - 1 ชั่วโมง
5. การยกตัวผู้ป่วย ควรใช้ผ้ายกตัว ไม่ควรใช้วิธีลาก
6. ในการนั่งรถเข็น ควรสวมรองเท้า/รองเท้าหุ้มส้นทุกครั้ง และสายรัด
กันเท้าตก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นขณะเข็นรถได้
7. ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ควรอยู่ในท่านั่งได้ไม่เกิน ครั้งละ
1 ชั่วโมง
การดูแลผิวหนัง
มีเป้าหมายเพื่อควบคุมและปรับปรุงเนื้อเยื่อที่ถูกกดให้มีความแข็งแรง
ป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ
1. การทำ�ความสะอาดร่างกายผู้ป่วยที่ผิวหนังแห้ง หลีกเลี่ยงการใช้
นํ้าอุ่นในการทำ�ความสะอาดร่างกาย และสบู่ควรเลือกทำ�ความสะอาดร่างกาย
วันละครั้ง หรือตามความเหมาะสม
2. สำ�หรับผู้ป่วยที่ผิวแห้ง ควรเพิ่มการทาโลชั่นโดยทา 3 - 4 ครั้งต่อวัน
ถ้าเป็นครีมทา 2 - 3 ครั้งต่อวัน
3. ในรายที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำ�ความสะอาดทุกครั้งที่มีการ
ขับถ่าย และซับให้แห้ง ในการทำ�ความสะอาดควรเช็ดอย่างเบามือ และซับให้แห้ง
ด้วยผ้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นทาวาสลีนหรือโลชั่นทุกครั้ง เพื่อปกป้องผิวหนังใน
ส่วนนั้นเป็นแผลจากความเปียกชื้น
4. ควรหาสาเหตุของการควบคุมการขับถ่ายไม่ได้และแก้ไข เช่นการฝึก
การขับถ่ายปัสสาวะ และการฝึกขับถ่ายอุจจาระ เป็นต้น
5. การยกตัวผู้ป่วยควรใช้ผ้ายกตัว ไม่ควรใช้วิธีลาก