More Related Content
Similar to วิทยาศาสตร์ ไฟฟ้า ม3
Similar to วิทยาศาสตร์ ไฟฟ้า ม3 (20)
วิทยาศาสตร์ ไฟฟ้า ม3
- 2. ~1~
ไฟฟ้าเบื้องต้น
ประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า
ชาวกรีกโบราณเป็นผู้พบไฟฟ้าเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 2,000 ปี
มาแล้ว แต่ยังไม่รู้จักใช้ เรารู้จักใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์
เมื่อประมาณ 150 ปี ที่ผ่านมาเท่านั้น พวกเขารู้ว่าอาพันซึ่งเป็นยางไม้
ที่กลายเป็นซากดึกดาบรรพ์ สามารถยกขนนกได้ เมื่อมันถูกขัดถู
กับผ้าไหม เราเรียกว่าไฟฟ้า หรืออิเล็กตรอน มาจากคาภาษากรีกว่า
“อิเล็กตร้า” ที่แปลว่าอาพัน
ไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปหนึ่ง สามารถทาให้เกิดสิ่งต่าง ๆได้
เช่น ทาให้เครื่องปิ้งขนมปังร้อนขึ้น และทาให้ดวงไฟสว่าง
การที่วัตถุมีประจุไฟฟ้าเพราะอะตอมของวัตถุประกอบด้วย อิเล็กตรอน (Electron) โปรตอน
(Proton) และนิวตรอน (Neutron) โดยโปรตอนและนิวตรอนอยู่ที่แกนกลางหรือนิวเคลียสของอะตอม
ส่วนอิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่วนรอบ ๆ นิวเคลียส
ประจุไฟฟ้าคือสิ่งที่แสดงอานาจทางไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือประจุบวกและประจุลบ อิเล็กตรอนเป็นประจุลบ และ
โปรตอนเป็นประจุบวก ส่วนนิวตรอนไม่มีประจุไฟฟ้าหรือเป็นกลาง เราสามารถจาแนกชนิดของวัตถุโดย
พิจารณาจากประจุไฟฟ้าได้ดังนี้
- 3. ~2~
จาแนกชนิดของวัตถุจากประจุไฟฟ้า
1. วัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้า คือวัตถุที่ไม่แสดงอานาจทางไฟฟ้า คือไม่ดึงดูดวัตถุใด ๆ เนื่องจาก
วัตถุมีจานวนโปรตอน (+) เท่ากับจานวนอิเล็กตรอน (- ) ตัวอย่างได้แก่วัตถุทั่ว ๆ ไป
2. วัตถุที่แสดงอานาจทางไฟฟ้า คือวัตถุที่สามารถดึงดูดวัตถุใด ๆได้ เนื่องจากวัตถุมีจานวน
โปรตอนไม่เท่ากับจานวนอิเล็กตรอน ถ้าวัตถุมีจานวนโปรตอน (+) มากกว่าจานวนอิเล็กตรอน (- ) วัตถุจะ
แสดงอานาจไฟฟ้าเป็นบวก และถ้าวัตถุมีจานวนโปรตอนน้อยกว่าอิเล็กตรอน วัตถุนั้นจะแสดงอานาจไฟฟ้า
เป็นลบ
ในฤดูหนาวเมื่อเราใช้หวีพลาสติกหวีผม แล้วนาหวีไปใกล้เศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ จะพบว่าเศษกระดาษ
ถูกดูดขึ้นมาติดกับหวี ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากหวีพลาสติกมีประจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นไฟฟ้าสถิต ถ้า
ประจุไฟฟ้าไม่เคลื่อนที่ เรียกว่าไฟฟ้าสถิต (Static Electricity) แต่ถ้าประจุไฟฟ้ามีการเคลื่อนที่ เรียกว่า
ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity)
ห้ามลืม ถ้าประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันจะผลักกัน และถ้าเป็นประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันจะดูดกัน
แหล่งกาเนิดไฟฟ้า
แหล่งกาเนิดไฟฟ้าหรือแหล่งจ่ายไฟฟ้า คือ แหล่งที่จ่ายพลังงานศักย์ไฟฟ้า หรืออาจเรียกว่า
แรงเคลื่อนไฟฟ้า ออกมาใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วๆไปสามารถแบ่งออกเป็น 6 ชนิดใหญ่ๆคือ
1. แบตเตอรี่ 4. การขัดสี
2. เซลล์แสงอาทิตย์ 5. ความร้อน
3. สนามแม่เหล็ก 6. แรงกด
7. แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์
- 4. ~3~
แบตเตอรี่ เป็นแหล่งกาเนิดไฟฟ้าที่อาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานไฟฟ้า แบตเตอรี่
ประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าตั้งแต่ 1 เซลล์ หรือมากกว่า โดยเซลล์นี้จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันทางไฟฟ้าซึ่งจะ
ประกอบด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน 4 ส่วน
1. ขั้วบวก (Positive Electrode)
2. ขั้วลบ (Negative Electrode)
3. อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte)
4. ตัวขั้นเซลล์ (Seperator)
สาหรับการแบ่งกลุ่มของแบตเตอรี่ สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มหลักดังนี้
1. แบตเตอรี่แบบปฐมภูมิ (Primary Battery) เช่น ถ่านไฟฉาย
2. แบตเตอรี่แบบทุติยภูมิ (Secondary Battery) เช่น ถ่านแบบชาร์ทได้ แบตเตอรี่
แบตเตอรี่แบบปฐมภูมิ หมายถึง แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียวและเมื่อประจุไฟหมดแล้วจะต้องทิ้งไป
ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถทาให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีแบบย้อนกลับใหม่ได้ ส่วนแบตเตอรี่ทุติยภูมิสามารถจะทา
ปฏิกิริยาทางเคมีแบบย้อนกลับได้ ดังนั้น จึงสามารถทาการเก็บประจุไฟใหม่และนากลับมาใช้งานได้อีก
เซลล์แสงอาทิตย์
เป็นแหล่งกาเนิดพลังงานไฟฟ้าที่อาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า
โครงสร้างของเซลล์แสงอาทิตย์ประกอบด้วยสารกึ่งตัวนา 2 ชนิด เชื่อมกันเพื่อให้เกิดรอยต่อ เมื่อผิวของสาร
กึ่งตัวนาด้านหนึ่งถูกแสงจะทาให้อิเล็กตรอนได้รับพลังงานเพียงพอจะทาให้อะตอมเคลื่อนที่ข้ามรอยต่อทาให้
เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า
- 7. ~6~
กระแสไฟฟ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
1. ไฟฟ้ากระแสตรง Direct Current : DC เป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน
จากแหล่งจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆได้เพียงทิศทางเดียว สาหรับแหล่งจ่ายไฟฟ้านั้น มาจากเซลล์
ปฐมภูมิคือถ่านไฟฉาย หรือเซลล์ทุติยภูมิคือ แบตเตอรี่ หรือเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
2. ไฟฟ้ากระแสสลับ Alternating Current : AC เป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน
จากแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆโดยมีการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาตลอดเวลา สาหรับแหล่งจ่ายไฟนั้น
มาจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดหนึ่งเฟสหรือเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดสามเฟส
- 10. ~9~
หลักการสร้างเซลล์ไฟฟ้าเคมี
1. จุ่มแผ่นโลหะต่างกัน 2 ชนิดลงในสารละลายที่สามารถแตกตัวให้ไอออนบวกและไอออนลบได้
2. โลหะต่างชนิดกันแตกตัวให้อิเล็กตรอนได้ต่างกัน ดังนั้นเมื่อต่อแผ่นโลหะทั้งสองเข้าด้วยกัน โลหะ
ที่แตกตัวให้อิเล็กตรอนได้ดีกว่า จะมีศักย์ไฟฟ้าต่า เรียกว่า ขั้วลบ ส่วนโลหะที่เสียอิเล็กตรอนยากกว่า จะมี
ศักย์ไฟฟ้าสูงกว่า เรียกว่า ขั้วบวก
3. อิเล็กตรอนจะไหลจากขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าต่าไปยังขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง ส่วนกระแสไฟฟ้าจะไหลจาก
ขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ากว่า
4. กระแสไฟฟ้าจะไหลจนกระทั่งศักย์ไฟฟ้าที่ขั้วทั้งสองเท่ากัน จึงจะหยุดไหล แสดงว่า ไฟหมด
ตัวอย่างเซลล์ไฟฟ้าเคมี
1. ถ่านไฟฉาย เป็นเซลล์แห้ง (Dry cell) สารเคมีที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ คือ แอมโมเนียมคลอไรด์
(NH4CI) ส่วนกล่องสังกะสีที่บรรจุสารเคมีเป็นขั้วลบตรงกลางของถ่านไฟฉายมีแท่งคาร์บอนหรือแกรไฟต์ทา
หน้าที่เป็นขั้วบวกถ่านไฟฉาย 1 ก้อน หรือ 1 เซลล์ มีความต่างศักย์ 1.5 โวลต์ เมื่อใช้ไปนานๆ ปฏิกิริยาเคมี
จะน้อยลง(ความต่างศักย์ลดลง) เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ทาปฏิกิริยาเหลือน้อยลง ขณะเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีน้า
เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆถ่านไฟฉายจะบวม เยิ้มเปียก แสดงว่าถ่านเสื่อมสภาพ ควรเลิกใช้ เพราะมี
แมงกานีสไดออกไซด์ เป็นสารมีอันตรายถ้าเข้าสู่ร่างกาย จะไปทาลายระบบประสาท
- 11. ~ 10 ~
2. แบตเตอรี่รถยนต์ คือเซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่ว ผลิตขึ้นโดยนาเซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่วซึ่ง
มีความต่างศักย์ เซลล์ละ 2 โวลต์ มาต่อกันแบบอนุกรม 6 เซลล์ ได้ความต่างศักย์รวม 12 โวลต์ เพือให้มี
่
พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แบตเตอรี่รถยนต์มีความต่างศักย์ 12 โวลต์
ภาพที่แสดงส่วนประกอบของแบตเตอรี่
1. ส่วนประกอบได้แก่ แผ่นตะกั่ว แผ่นตะกั่วออกไซด์ สารละลายกรดซัลฟิวริก
2. ให้ความต่างศักย์ 2 โวลต์ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากแผ่นตะกั่วออกไซด์ไปยังแผ่นตะกั่ว
3. เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะเกิดตะกั่วซัลเฟต(PbSo4 ) จับที่ขั้วทั้งสอง ทาให้ไม่เกิดความต่างศักย์
กระแสไฟฟ้าจึงหยุดไหล แต่สามารถนาไปประจุไฟฟ้าใหม่ ก็จะได้ ตะกั่ว ตะกั่วออกไซด์ และกรดซัลฟิวริก ซึ่ง
นามาใช้ได้อีก
4. การประจุไฟฟ้า ให้ต่อขั้วลบเข้ากับขั้วลบ ขั้วบวกเข้ากับขั้วบวก
สารตะกั่วมีอันตราย เพราะไปทาลายเม็ดโลหิตแดงและระบบประสาทของร่างกาย ดังนั้นจึงต้อง
ระวังทั้งในกระบวนการผลิต การใช้ และไม่ควรนาไปทิ้งในที่สาธารณะ
ประเภทของเซลล์ไฟฟ้าเคมี
ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
1. เซลล์ปฐมภูม(Primary Cell) เมื่อใช้แล้วสารเคมีจะหมดไป เมื่อใช้กระแสไฟฟ้าหมดแล้วไม่
ิ
สามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น ถ่านไฟฉาย เซลล์อัลคาไลน์
- 12. ~ 11 ~
2. เซลล์ทุติยภูมิ (Secondary Cell) เมื่อใช้กระแสไฟฟ้าหมดแล้ว สามารถนาไปประจุไฟฟ้า เพือ
่
นากลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น แบตเตอรรี่รถยนต์
แบบฝึกหัดที่ 2 เรื่องเซลส์ไฟฟ้าเคมี
จงเติมเครื่องหมาย ถูก
หน้าข้อความที่ถูกต้องและเติมเครื่องหมาย กากบาท
หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง
……
1.
........
2.
……
3.
........
4.
……
5.
……
6.
.......
7.
.......
8.
......
9.
......
10.
ภ
Primary Cell
ภ
2
- 13. ~ 12 ~
ไดนาโม
ไดนาโม เป็นเครื่องกาเนิดไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า หลักการเหนี่ยวนาให้เกิด
กระแสไฟฟ้า อาจทาได้โดยการหมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็กจะ ทาให้สนามแม่เหล็กบริเวณขดลวดเกิดการ
เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ผู้ค้นพบกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาคือ
ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ โดยใช้ขดลวดเคลื่อนตัดกับเส้นแรง
แม่เหล็ก
ถ้าต้องการสร้างไดนาโมให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น สามารถทาได้ ดังนี้
1. เพิ่มจานวนรอบของขดลวด
2. เพิ่มแรงขั้วแม่เหล็ก
3. หมุนขดลวดให้เร็วขึ้น
แรงดันไฟฟ้า(Voltage)
เป็นแรงที่ทาให้อิเล็กตรอนเกิดการเคลื่อนที่ หรือแรงที่ทาให้เกิดการไหลของไฟฟ้าโดยแรงดันไฟฟ้าที่
มีระดับต่างกันจะมีปริมาณไฟฟ้าสูงเนื่องจากปริมาณประจุไฟฟ้าทั้งสองด้านมีความแตกต่างกัน
หน่วยของแรงดันไฟฟ้าจะใช้ตัวอักษร V จะแทนคาว่า Volt ซึ่งเป็นหน่วยวัดของแรงดันไฟฟ้า
- 14. ~ 13 ~
ความต้านทานไฟฟ้า
ความต้านทานไฟฟ้า (Resistance) เป็นการต่อต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าของวัตถุซึ่งจะมีค่า
มากหรือค่าน้อยจะขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุนั้นๆ ความต้านทานจะมีหน่วยวัดเป็น โอห์ม และจะใช้สัญลักษณ์
เป็น(Ohms) Ω
ตัวนาไฟฟ้า
ตัวนาไฟฟ้า (Conductors) วัตถุที่กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านได้โดยง่ายหรือวัตถุที่มีความ
ต้านทานต่า เช่น ทองแดง อลูมิเนียม ทอง และเงิน ซึ่งเป็นตัวนาไฟฟ้าที่ดีที่สุด ค่าความนาไฟฟ้าจะมี
สัญลักษณ์เป็น G และมีหน่วยเป็น ซีเมนส์ (S) โดยมีสูตรการคานวณดังนี้
G = 1/R
- 15. ~ 14 ~
ตัวอย่าง
วัตถุชนิดหนึ่งมีค่าความต้านทานไฟฟ้า 25 โอห์ม จงคานวณหาค่าความนาไฟฟ้าของวัตถุชนิดนี้มีค่าเป็นเท่าไร
จากสูตร
G = 1/R
แทนค่า
G = 1/25
คาตอบ = 0.04 S
G = 40 mS
ฉนวนไฟฟ้า
ฉนวนไฟฟ้า Insulators วัตถุที่ซึ่งไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปได้ หรือวัตถุที่มีความ
ต้านทานไฟฟ้าสูง ซึ่งสามารถต้านทานการไหลของกระแสได้ เช่น ไมก้า แก้ว และ พลาสติก
การเปลี่ยนหน่วยทางไฟฟ้า
หน่วยวัดพื้นฐานทางไฟฟ้า ได้แก่ แอมแปร์ A โวลต์ V และโอห์ม W ซึ่ง
แอมแปร์ A =ปริมาณกระแสไฟฟ้า
โวลต์ V=ขนาดของแรงดัน
โอห์ม W=ค่าความต้านทาน
กฎของโอห์ม
กระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรไฟฟ้าได้นั้น เกิดจากแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้กับวงจรและปริมาณ
กระแสไฟฟ้าภายในวงจรจะถูกจากัดโดยความต้านทานไฟฟ้าภายในวงจรไฟฟ้านั้นๆ ดังนั้นปริมาณ
กระแสไฟฟ้าภายในวงจรจะขึ้นอยู่กับแรงดันไฟฟ้าและค่าความต้านทานของวงจร ซึ่งวงจรนี้ถูกค้นพบด้วย
George Simon Ohm เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันและนาออกมาเผยแพร่ในปี ค.ศ.1826
- 16. ~ 15 ~
ซึ่งวงจรนี้เรียกว่า กฎของโอห์ม กล่าวว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรจะแปรผันตรงกับแรงดันไฟฟ้าและ
แปรผกผันกับค่าความต้านทานไฟฟ้า โดยเขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
ตัวอย่าง
จงคานวนหาค่าปริมาณกระแสไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าขนาด 50 โวลต์ และมีค่าความ
ต้านทานของวงจรเท่ากับ 5 โอห์ม
วิธีทา
กาลังไฟฟ้า
กาลังไฟฟ้า Electrical Power : P เป็นกาลังไฟฟ้าที่ใช้ไปในการทาให้เกิดพลังงานในรูปต่างๆ เช่น
พลังงานความร้อน พลังงานแสงสว่าง พลังงานกล มีหน่วยเป็น วัตต์ Watt ใช้สัญลักษณ์เป็น " W " ตามชื่อ
ของ James Watt ซึ่งกาลังไฟฟ้ามีสูตรการคานวนดังนี้
- 17. ~ 16 ~
ตัวอย่าง
จงคานวนหากาลังไฟฟ้าของโหลดของวงจรไฟฟ้าที่มีแรงดัน 200 โวลต์ ตกคร่อมอยู่และมีกระแสไฟฟ้า 1.5
แอมแปร์ ไหลผ่านโหลด
วิธีทา
การวัดกาลังไฟฟ้า
วัตต์มิเตอร์ Wattmeter เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดกาลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า โดย
การวัดจะต้องต่อขั้วไฟให้ถูกต้อง ซึ่งเราจะอ่านค่าของกาลังไฟฟ้าได้โดยตรงจากวัตต์มิเตอร์
- 18. ~ 17 ~
กิโลวัตต์ - ชั่วโมง
การที่เราจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าทุกๆเดือนเป็นการแสดงค่าใช้จ่ายของพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปในแต่ละ
เดือนจะวัดในหน่วยที่เรียกว่า กิโลวัตต์ - ชั่วโมง ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ 1000 วัตต์ ใน 1 ชั่วโมง และอุปกรณ์ที่วัด
นี้มีชื่อเรียกว่า Kilowatt - Hour meter จึงสามารถนาค่าพลังงานที่วัดมาได้มาใช้ในการคานวนเรียกเก็บ
ค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในแต่ละเดือน สามารถคานวนหาค่าพลังงานที่ถูกใช้ไปได้จากสูตรดังต่อไปนี้
พลังงานที่ถูกใช้ไป = กาลังไฟฟ้า x เวลา
ตัวอย่าง
ถ้าหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ ถูกเปิดไว้นาน 10 ชั่วโมง จงคานวนหาค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไป
วิธีทา
- 19. ~ 18 ~
แบบทดสอบ เรื่อง การผลิตกระแสไฟฟา
้
1. จงพิจารณาข้อความในข้อต่อไปนี้ ข้อใด ไม่ ถูกต้อง
ก. แบตเตอรี่รถยนต์ให้ไฟฟ้ากระแสสลับ
ข. เซลล์ไฟฟ้าเคมีทุกชนิดให้ไฟฟ้ากระแสตรง
ค. เกิดการไหลของกระแสไฟฟ้าได้เมื่อมีความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุด
ง. ในเซลล์ไฟฟ้าเคมี ถ้ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นมาก จะเกิดกระแสไฟฟ้าไดมากด้วย
2. ถ้านาแผ่นสังกะสีทั้ง 2 อัน เสียบเข้ากับผลมะนาว แล้วต่อเข้ากับเครื่องวัดกระแสไฟฟ้า จะมีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นหรือไม่
เพราะเหตุใด
ก. เกิดเพราะใช้แผ่นสังกะสีขนาดต่างกัน
ข. ไม่เกิด เพราะแผ่นสังกะสีมีขนาดเล็กเกินไป
ค. เกิด เพราะแผ่นสังกะสีทาปฏิกิริยากับน้ามะนาวได้
ง. ไม่เกิด เพราะใช้โลหะชนิดเดียวกัน ทาให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเท่ากัน ความต่างศักย์จึงเท่ากันไม่เกิดกระแสไฟฟ้าไหล
3. ไฟฟ้ากระแสสลับและไฟฟ้ากระแสตรงจากไดนาโม จะมีค่ามากหรือน้อย ไม่ เกี่ยวกับข้อใด
ก. ความเร็วของขดลวด
ข. จานวนรอบของขดลวด
ค. ชนิดของแรงหมุนขดลวด
ง. ความเข้มของสนามแม่เหล็ก
4. ไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับนั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องใด
ก. ทิศทางการไหล
ข. ความเข้มของแสง
ค. แหล่งกาเนิดไฟฟ้า
ง. ปริมาณกระแสไฟฟ้า
- 20. ~ 19 ~
5. การไหลของกระแสไฟฟ้าเปรียบได้กับการเคลื่อนที่ในข้อใดได้ดีที่สุด
ก. ควันไฟ
ข. ลมพัดฝุ่น
ค. น้าในแม่น้า
ง. คลื่นในทะเล
6. ถ้ากระแสไฟฟ้าไหลจากจุด ก ไปยังจุด ข สามารถสรุปได้ตามข้อใด
ก. จุด ก ศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าจุด ข
ข. จุด ข ศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าจุด ก
ค. จุด ก มีความต่างศักย์สูงกว่าจุด ข
ง. จุด ข มีความต่างศักย์สูงกว่าจุด ก
7. ไฟฟ้าที่เกิดจาก แหล่งกาเนิดในข้อใดเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
ก. ไดนาโม การเหนี่ยวนา
ข. ถ่านไฟฉาย การเหนี่ยวนา
ค. ไดนาโม แบตเตอรี่รถยนต์
ง. ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่รถยนต์
8. ในเซลล์ไฟฟ้าเคมีอิเล็กตรอนที่เกิดจากการแตกตัวของสังกะสีมีทิศทางการเคลื่อนที่อย่างไร
ก. สังกะสี
สารละลาย
ทองแดง
ข. สังกะสี
ลวดตัวนา
ทองแดง
ค. ทองแดง สารละลาย
สังกะสี
ง. ทองแดง
สังกะสี
ลวดตัวนา
- 21. ~ 20 ~
9. เมื่อนาแผ่นโลหะ 2 ชนิดจุ่มลงในสารละลายชนิดหนึ่งแล้วต่อแผ่นโลหะทั้งสองด้วยสายไฟเข้ากับแบตเตอรี่ ปรากฏว่าเข็ม
ของแอมมิเตอร์ไม่เบน สามารถคาดคะเนได้อย่างไร
ก. สารละลายที่ใช้เป็นน้า
ข. สารละลายที่ใช้เป็นด่าง
ค. สารละลายที่ใช้ไม่เป็นกรด
ง. คาดคะเนไม่ได้
10. กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวนา ได้จากอุปกรณ์ชนิดใด
ก. ไดนาโม
ข. แบตเตอรี่
ค. ถ่านไฟฉาย
ง. โซลาร์เซลล์