More Related Content
Similar to นางสาวนพวรรณ สุวรรณวัฒน์ (20)
นางสาวนพวรรณ สุวรรณวัฒน์
- 2. ไอคิว (IQ ย่อจาก Intelligence quotient)
หมายถึง
ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา การคิด การใช้เหตุผล
การคานวณ การเชื่อมโยง
ไอคิว เป็นศักยภาพทางสมองที่ติดตัวมาแต่กาเนิด
เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก
ไอคิว สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอน
ได้เทียบกับอายุคน ส่วนใหญ่มีไอคิวช่วง 90-110
ส่วนคนที่มีไอคิวเกิน 120 ถือว่าเป็นคนที่มีไอคิวใน
ระดับสูง
- 3. นายวิลเลียม สเตอร์น เป็นคนคิดคาว่า ไอ.คิว.
เป็นคนแรก เพื่อบ่งถึงระดับเชาวน์ปัญญาของแต่ละ
บุคคล โดยใช้สูตร คือ
IQ = [ อายุสมอง (Mental Age) / อายุจริง
(Chronologic Age) ] * 100
(มนุษย์ประมาณ 2 ใน 3 มีไอคิวช่วง 85-115 มีเพียงร้อยละ 1
เท่านั้นที่มีไอคิวเท่ากับ 136 หรือมากกว่านั้น ชาวญ่ปี่นุถือเป็นชน
ชาติที่มีไอคิวค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกถึง 115)
- 5. แบบทดสอบ IQ วดัทกัษะด้านต่างๆดงันี้
ทักษะด้านคณิตศาสตร์
ทักษะด้านการใช้ภาษา
ทักษะด้านการคิดเชิงตรรกะ
ทักษะด้านการมองเห็น
ทักษะด้านการจัดหมวดหมู่
ทักษะด้านความจาในระยะสั้นๆ
ทักษะด้านความรู้ทัว่ไป
ทักษะด้านความเร็วในการคานวน
- 6. การพัฒนา IQ
50% จากกรรมพันธุ์ซึ่งปรับเปลี่ยนกันได้ยาก
50% จากสิ่งแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูความรัก
ความอบอ่นุ เพราะฉะนั้นต้องมีเวลาให้ลูกหลาน
อาหาร ครบห้าหมู่โดยเฉพาะ ปลา ถัว่เหลือง
วิตามินบี ธาตุเหล็ก ไอโอดีน โปรตีน
ประสบการณ์ต่างๆจากการเล่น ออกกาลังกาย
ทากิจกรรมกลุ่ม การทางาน การทางาน ศิลปะ ดนตรี
กีฬา ที่ชื่นชอบ
- 7. การพัฒนา IQ
ได้ฟังนทิาน(วัยเด็กเล็ก) การได้ช่วยทางาน ทากิจกรรมในเด็ก
โต
การได้รับรับคาชมเชย จะช่วยให้มองเห็นคุณค่าของตนเอง
ความคิดในทางบวก มีความคิดอย่างสร้างสรรค์จากการที่ได้
รับคาชมเชยเสมอ ได้รับการยอมรับการกระทาต่างๆที่ดี
อารมณ์ดีไม่เครียด
ออกกาลังกาย อย่างน้อย 30 นาทีต่อวันจะช่วยให้มีสมาธิสด
ชื่น คิดอะไรได้เร็ว อดทน ไม่ซึมเศร้า ไม่ติดยาเสพติด
- 8. ปั จจัยที่มีผลลบต่อสมอง ทา ให้สมองไม่พัฒนา
ความเครียด, ความกดดันต่างๆ เช่นการทาการบ้านมากมาย ขาดการ
พักผ่อนออกกาลังกาย
ขาดอาหารเช่นพวกโลหิตจาง
สมองขาดการกระตุ้น หรือการใช้สมองฝึกคิดในสิ่งต่างๆ เช่นการฝึกการ
แก้ปัญหา ฝึกความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ การใช้ไหวพริบ
มองตนเองในแง่ลบ มองตนเองไม่มีคุณค่า จากการถูกตาหนิทุกวัน
หรือบ่อยๆ
ซึมเศร้า,ทุกข์,โกรธ,วิตกกังวล
สารพิษ ยาเสพติด สารตะกัว่
- 9. Multiple Intelligences
หรือทฤษฎีพหุปั ญญา
โดย ดร. โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ Howard Gardner
ปัญญา คือ ความสามารถในการทาความเข้าใจ ระบุและ
แก้ปัญหา นา ไปสู่ การสร้างสรรค์ ประดิษฐ์ หรือ ให้บริการได้
- 10. ปั ญญาทั้ง 8
1. เชาวน์ปัญญาด้านภาษา(Linguistic intelligence
)
2. เชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
(Logical-mathematical intelligence )
3. เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์(Spatial
intelligence )
4. เชาวน์ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว(Bodily-
Kinesthetic intelligence )
- 11. ปั ญญาทั้ง 8
5. เชาวน์ปัญญาด้านดนตรีและจังหวะ
(Musical intelligence )
6. เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal intelligence )
7. เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจผู้อื่น
(Interpersonal intelligence )
8. เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ
(Naturalist intelligence )
- 13. 1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว
(Sensori-Motor Stage)
ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคล่อืนไหวเป็นส่วน
ใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู
ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญา
ด้วยการกระทา
เด็กสามารถแก้ปัญหาได้
แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคาพูด
- 15. 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด
(Preoperational Stage)
ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปีแบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น
ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought)
เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี
เด็กเริ่มมีเหตุผลเบ้อืงต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์
เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน
เด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่และมอง
ไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น
ความเข้าใจต่อส่งิต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง
2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกัน
พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก
- 16. การคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล
(Intuitive Thought)
เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี
เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจ
ความหมายของจานวนเลข
เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์
สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียม
ล่วงหน้าไว้ก่อน
- 17. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม
(Concrete Operation Stage)
ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี
เด็กวัยน้สีามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อม
ออกเป็นหมวดหมู่ได้
สามารถเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาส่งิต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้
สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ ของแข็งหรือ
(ของเหลวจานวนหนึ่งแม้ว่าจะเปล่ยีนรูปร่างไปก็ยังมีน้า หนัก หรือ
ปริมาตรเท่าเดิม)
ลักษณะเด่นของเด็กวัยน้คีือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ
สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
- 18. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม
(Formal Operational Stage)
เริ่มจากอายุ 11-15 ปี
พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยน้เีป็น
ขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยน้จีะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่สามารถคิดแบบ
นักวิทยาศาสตร์ ตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี
มีความคิดนอกเหนอืไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎี
เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง
มีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
- 19. เพยีเจต์ ได้กล่าวถึงการส่งเสริมทเี่ด็กควรได้รบัมี6 ขนั้ ได้แก่
1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences)
เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition)
ขั้นน้เีด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น
มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree)
เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลาย
สุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
- 20. 4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเน่อืง (Variation)
เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น
บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
5. ขั้นรู้ผลของการกระทา (Function)
ในขั้นน้เีด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปล่ยีนแปลง
6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว
(ExactCompensation)
เด็กจะรู้ว่าการกระทาให้ของสิ่งหน่งึเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่อ
อีกสิ่งหนึ่ง
- 21. นกัเรียนแต่ละคนจะได้รบัประสบการณ์ 2 แบบคือ
ประสบการณ์ทางกายภาพ
(physical experiences)
จะเกิดขึ้นเม่อืนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง
ในสภาพแวดล้อมโดยตรง
ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์
(Logicomathematical
experiences) จะเกิดขึ้นเม่อืนักเรียนได้พัฒนา
โครงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็น
นามธรรม
- 22. การนา ไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
ควรคานึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่
แตกต่างกัน
ไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก
ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของ
เขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา
- 23. หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทาง
สติัปญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้
ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ
เน้นกิจกรรมการสารวจและการเพ่มิขยายความคิดในระหว่างการ
เรียนการสอน
ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities)
โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของ
ตนเอง
- 24. การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปั ญญาของผู้เรียนควร
ดา เนินการดังต่อไปนี้
ถามคาถามมากกว่าการให้คาตอบ
ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ
เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคาถามหรือจัดประสบการณ์ให้
นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
ยอมรับว่านักเรียนแต่ละคนมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจามากกว่าที่จะเข้าใจ
เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (pseudo learning)
- 25. ในขั้นประเมินผล ควรดา เนินการสอนต่อไปนี้
มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน
พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอน
คา ถามนั้น ๆ
ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทาง
สติปัญญาต่า กว่าเพื่อร่วมชั้น
- 27. บรุนเนอร์ (Bruner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจ
และศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญา
ต่อเนื่องจากเพียเจต์
เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้ส่งิที่ตนเองสนใจและการ
เรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง
(discovery learning)
- 28. ทฤษฎีการเรียนรู้
การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์ และสอดคล้องกับ
พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความ
พร้อมของผู้เรียน จะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
การคิดแบบหยัง่รู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอย่าง
อิสระที่สามารถช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสาคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียน
ประสบผลสาเร็จในการเรียนรู้
- 29. ทฤษฎีพฒันาการทางสติปญัญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขนั้ใหญ่ ๆ คือ
ขั้นการเรียนรู้จากการกระทา (Enactive Stage) คือ ขั้น
ของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือ
กระทาช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทา
ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็ก
สามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทน
ของจริงได้
ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic
Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
- 30. การนา ไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการ
เรียนรู้ที่ดีมีความหมายสาหรับผู้เรียน
การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเน้อืหาสาระการเรียนรู้ให้
เหมาะสมเป็นสงิ่ทีจ่าเป็นทีต่อ้งทาก่อนการสอน
การจัดหลักสูตรแบบเกลียว (Spiral
Curriculum) ช่วยให้สามารถสอนเน้อืหาหรือ
ความคิดรวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้
ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ
ให้มากเพ่อืช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
- 31. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปั ญญาของกาเย่
เด็กพัฒนาเน่อืงจากว่า เขาได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ที่ซับซ้อน
ขึ้นเรื่อย ๆ
ในระยะเริ่มแรกเด็กจะได้รับนิสัยง่าย ๆ ที่ช่วยทาหน้าที่
เป็นจุดเริ่มต้น เพ่อืให้ได้มาซึ่งกลไกพื้นฐาน และการ
ตอบสนองทางคาพูด และจะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น
- 33. การพัฒนาทางสติปัญญา จึงได้แก่การสร้างความสามารถ
ในการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนเพ่มิขึ้นเรื่อย ๆ
ระยะหรือขั้นของการพัฒนาการจะสัมพันธ์กับอายุของ
เด็ก เน่อืงจากการเรียนรู้ต้องใช้เวลา มีข้อจากัดทางสังคม
เป็นตัวกาหนด
ความสามารถในการเรียนรู้อาจต้องรอการฝึกฝนที่
เหมาะสม
- 34. การนา ไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
เด็ก ๆ จะต้องพัฒนาให้เร็วที่สุดทันทีที่เราสามารถ
สอนเขาได้
ความพร้อมในการเรียนของนักเรียนขึ้นอยู่กับการจัดให้
งานด้านทักษะมีความเหมาะสม และนิสัยที่จาเป็นสาหรับ
การเรียนทักษะใหม่ ๆ
- 35. หลกัการสอนทงั้ 9 ประการ
1. เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
3. ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior
Knoeledge)
4. นา เสนอเน้อืหาใหม่ (Present New
Information)
5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide
Learning)
- 36. หลกัการสอนทงั้ 9 ประการ
6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน
(Elicit Response)
7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide
Feedback)
8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess
Performance)
9. รุปและนา ไปใช้ (Review and
Transfer)