More Related Content
More from Prachaya Sriswang
More from Prachaya Sriswang (20)
ไอกรน Ppt.1
- 4. การระบาดของโรคไอกรน
ในปี 2549 มีการระบาด มีผู้ป่วย 72 ราย
ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยพบการระบาดที่จังหวัดน่าน
มีผู้ป่วย 60 ราย
ในปี 2554 มีผู้ป่วยไอกรน 12 ราย ไม่มี
ผู้เสียชีวิต
21-Jul-14 4
- 5. การระบาดของโรคไอกรน
ในประเทศไทย อุบัติการณ์ของโรคไอกรนลดลงมาก ซึ่งเป็น
ผลจากการเพิ่มระดับความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนป้ องกัน
โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
โรคนี้พบในเด็กอายุเกิน 5 ปีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่
ไม่ได้รับวัคซีน
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-20 วัน ที่พบบ่อย 7-10 วัน
ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค
21-Jul-14 5
- 7. โรคไอกรนเกิดได้อย่างไร
เชื้อ Bordettella เมื่อเข้าสู่ทางเดินหายใจแล้ว
จะไปเกาะกับเซลล์เยื่อบุ หรือเยื่อเมือกของเนื้อเยื่อหลัง
โพรงจมูก
ส่งผลต่อการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ ทาให้เกิด
อาการต่างๆ ตามมา
เชื้อโรคไอกรนเองมักไม่แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด
(โลหิต) จึงมักไม่ก่ออาการกับอวัยวะอื่น
21-Jul-14 7
- 10. อาการของโรคไอกรน
2. ระยะอาการกาเริบ (Paroxysmal phase)
เมื่อการไอสิ้นสุด จะมีการหายใจเข้าอย่างรวดเร็วหนึ่ง
ครั้ง ซึ่งลมหายใจนี้จะไปกระทบกับฝากล่องเสียงที่ปิดอยู่
ทาให้มีเสียงดังที่มีลักษณะจาเพาะ คือ เสียงดังวู๊ป
(Whooping cough)
ระยะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่า
นี้ได้
21-Jul-14 10
- 17. การรักษา
ให้ยา Erythromycin 50 มก./นน.ตัว 1 กก.
ให้ Hyperimmune gamma globullin 3-6
ซีซี. ฉีดเข้ากล้ามเนี้อ
ให้อาหารที่มีแคลอรี่สูง
พักผ่อนให้เพียงพอ
ให้ยาขับเสมหะ และยากล่อมประสาท
21-Jul-14 17
Editor's Notes
- การเพาะเชื้อ โดยการนำสารคัดหลั่งจากโพรงหลังจมูกมาเพาะเชื้อ
การตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอนเอ, DNA) ของเชื้อไอกรนจากสารคัดหลั่งจาก โพรงหลังจมูก ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า พีซีอาร์ (PCR, Polymerase chain reaction)
การตรวจหาแอนติบอดี (Immunoglobulin A หรือ Immunoglobulin G) ที่จำเพาะต่อโรคไอกรน ในกรณีที่อาการเป็นนานมากกว่า 4 สัปดาห์แล้ว จะเลือกใช้วิธีนี้แทนการเพาะเชื้อ
การตรวจดูเม็ดเลือด (การตรวจ CBC) จะเพียงช่วยในการวินิจฉัย ซึ่งจะพบมีเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte ขึ้นสูงกว่าปกติ จะไม่เหมือนการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ที่จะมีเม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophil ขึ้น
- . ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายที่สำคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็ก โรคในปอดที่อาจพบได้อีกจะเกิดจากการมีเสมหะเหนียวไปอุดในหลอดลมและถุงลม ทำให้เกิด atelectasis2. จากการไอมากๆ ทำให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา (Subconjunctival hemorrhage) มี petechiae ที่หน้า และในสมอง3. ระบบประสาท อาจมีอาการชัก พบบ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมองในขณะที่ไอถี่ๆ และอาการชักอาจเกิดจากมีเลือดออกในสมอง
- ในเด็กบางคน ผู้สัมผัสโรคที่อายุน้อยกว่า 6 ปี ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือได้ไม่ครบ 4 ครั้ง ควรจะเริ่มให้วัคซีนหรือเพิ่มให้ครบตามกำหนดการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ผู้สัมผัสโรคที่เคยได้รับมาแล้ว 4 ครั้ง ให้กระตุ้นเพิ่มอีก 1 ครั้ง ยกเว้นเด็กที่เคยได้รับ booster มาแล้วภายใน 3 ปี หรือเป็นเด็กอายุเกิน 6 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้นเพิ่ม ส่วนผู้ที่เคยได้มาแล้ว 3 ครั้ง และครั้งที่ 3 เกิน 6 เดือน ควรจะให้ dose ที่ 4 ทันทีที่สัมผัสโรค